"กนอ." ปักหมุดนำร่องมาบตาพุดดันนิคมอุตสาหกรรมสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

10 พ.ย. 2564 | 08:55 น.

กนอ. ร่วมกับพันธมิตรองค์กรธุรกิจไทยและญี่ปุ่นศึกษาเพื่อพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนพื้นที่มาบตาพุด ยกระดับคุณภาพมาตรฐานการทำงาน พร้อมใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงานมาใช้เพิ่มความสามารถในการผลิต

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่าได้ดำเนินการร่วมกับพันธมิตรองค์กรธุรกิจไทยและญี่ปุ่น ประกอบด้วย  บริษัท ปตท. จำกัด ( มหาชน ) ,บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด ,บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เพื่อร่วมมือในในโครงการศึกษาแนวทางในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน(Carbon Neutral Industrial Estate) ในพื้นที่มาบตาพุด 
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว ทุกฝ่ายมีเจตจำนงร่วมกันในการส่งเสริมความร่วมมือในโครงการศึกษาแนวทางในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในพื้นที่มาบตาพุด ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศไทยที่ต้องการจะเป็นสังคมคาร์บอนต่ำผ่านการดำเนินกิจกรรมด้านเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว 

โดย กนอ.มุ่งมั่นสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว และยกระดับมาตรฐานนิคมอุตสาหกรรมด้วยการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมต้นแบบ 4.0 ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี (EEC) รวมถึงนิคมอุตสาหกรรม Smart Park ซึ่งจะอาศัยการออกแบบที่ยั่งยืนด้วยสถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีที่สวยงามและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพและมาตรฐานชีวิตการทำงานในนิคมอุตสาหกรรม 

วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ.
อย่างไรก็ดี นอกจากการมุ่งสู่ความยั่งยืนแล้ว นิคมอุตสาหกรรม Smart Park จะนำเทคโนโลยีประหยัดพลังงานเพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิต ลดการใช้พลังงาน ส่งเสริมการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และหันมาใช้พลังงานสะอาดที่หลากหลาย เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวภาพ พลังงานไฮโดรเจน เป็นต้น รวมถึงยกระดับระบบการขนส่งที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ และระบบบริหารจัดการพลังงาน

นายวีริศ กล่าวอีกว่า นโยบาย BCG ของรัฐบาล มุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการลดคาร์บอนและมาตรการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจัดเก็บ การขนส่ง และการใช้งาน สิ่งสำคัญคือต้องกระจายแหล่งพลังงานเพื่อเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้มากที่สุด 
โดยเฉพาะการผลิตพลังงานไฮโดรเจนด้วยพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดที่หลากหลาย เช่น ชีวมวล ซึ่งไฮโดรเจนเหลวสามารถจัดเก็บและขนส่งได้ง่ายกว่าไฟฟ้า เมื่อใช้และแปลงเป็นไฟฟ้า ไฮโดรเจนจะไม่ปล่อยของเสีย นอกจากน้ำ ซึ่งการลงนามร่วมกันในวันนี้คาดว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์และเป็นความท้าทายในการนำไฮโดรเจนและพลังงานสะอาดอื่นๆ มาใช้ในอนาคต 
นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาลไทยที่มีต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมรุ่นต่อไป ผ่านการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งอีอีซีมีบทบาทสำคัญอย่างมาก
นายนาชิดะ คาซูยะ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งประเทศญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กล่าวว่า พร้อมสนับสนุนความเป็นกลางทางคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยคาดหวังถึงอนาคตของความเป็นกลางทางคาร์บอนของทั้งญี่ปุ่นและไทย ซึ่งมองว่าการลดคาร์บอนของภาคอุตสาหกรรมจะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และห่วงโซ่คุณค่าไฮโดรเจนในอาเซียนที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศไทย

 ดันนิคมอุตสาหกรรมสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
นายยามาชิตะ โนริอากิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวในนามของบริษัทญี่ปุ่นที่เข้าร่วมโครงการ ว่า ในฐานะบริษัทญี่ปุ่นที่เข้าร่วมโครงการมีความประสงค์ที่จะใช้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีของญี่ปุ่น เพื่อช่วยให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและกลายเป็นศูนย์กลางระดับโลกที่สำคัญของเทคโนโลยีขั้นสูง
นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ผู้แทนบริษัทของไทยที่เข้าร่วมโครงการฯ กล่าวว่า ปตท. เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาพลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนาพลังงานระดับโลก โดยมุ่งเน้นการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ 
สำหรับความร่วมมือครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ ปตท. ในการดำเนินธุรกิจและสังคมที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพลังงานไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนซึ่งต้องการการสนับสนุนอย่างมากจากฝ่ายต่างๆ โดยเชื่อว่าโครงการนี้ จะสามารถแสดงให้เห็นถึงการนำเทคโนโลยีขั้นสูงและสะอาดมาใช้ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและทำให้เราก้าวไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำและนำไปสู่การพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนร่วมกันต่อไป
รัฐบาลญี่ปุ่นมีเป้าหมายในการมีส่วนร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคาร์บอนต่ำทั่วโลก ผ่านยุทธศาสตร์การส่งเสริมระบบโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ 2025 และกลยุทธ์การเติบโตสีเขียวผ่านการบรรลุความเป็นกลางของคาร์บอน ซึ่งการศึกษาความเป็นไปได้นี้ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ( Minister of Economic, Trade and Industry : METI) ภายใต้โครงการการศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานคุณภาพสูงในต่างประเทศเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่ยาวนานระหว่างทั้งสองประเทศ
สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ มีกำหนดระยะเวลา 3 ปี โดยทุกฝ่ายจะประสานความร่วมมือระหว่างกันและกันภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือและนำข้อมูลที่ได้รับไปใช้ประโยชน์เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในพื้นที่มาบตาพุด ตลอดจนมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป