นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมการติดตามความก้าวหน้าการนำยางพารามาใช้ทำถนนว่า ขณะนี้กรมทางหลวง (ทล.) ได้นำยางพารามาใช้ทำกำแพงคอนกรีต (แบริเออร์) หุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ และเสาหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post) มีความคืบหน้าล่าช้ากว่าแผนอยู่ราว 20% ขณะที่กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ล่าช้าราว 10% ซึ่งปัญหาเกิดจากระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุประเภทครอบกันชน ที่ไม่เคยมีการจัดซื้อมาก่อน เนื่องจากที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตรฯ ได้ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (MOU) โดยใช้วิธีการจัดซื้อยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยางโดยตรง แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะผิดพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและที่ราชพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ทำให้ไม่สามารถดำเนินการจัดซื้อยางพาราเพื่อมาทำถนนได้ คาดว่ากระทรวงการคลังจะประกาศราชกิจจาภายในเดือนธันวาคมนี้
“ขณะเดียวกันเราจะมีการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันกับสถาบันการศึกษาทั้ง 4 จังหวัด ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อรวบรวมสถิติข้อมูลด้านความปลอดภัยทางถนนและความสามารถของยางพาราที่มาทำถนน โดยจะนำผลประเมินที่ได้เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2564”
สำหรับความคืบหน้าล่าสุดการดำเนินงานของ ทล.ได้ติดตั้งแบริเออร์แล้วประมาณ 238 กิโลเมตร (กม.) ขณะที่ ทช. ติดตั้งแบริเออร์ 105 กม. รวมระยะทางดำเนินการแล้วเสร็จ 344 กม. ส่วนเสาหลักนำทาง ทล.ได้ติดตั้ง 8.9 หมื่นต้น ทช. 2.07 แสนต้น รวมจำนวนที่ดำเนินการแล้วเสร็จ 2.9 แสนต้น โดยนโยบายการนำยางพารามาใช้ เป็นผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้น ปัจจุบันมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ราว 70 บาทต่อกิโลกรัม ขณะเดียวกันในเฟสแรกจะใช้งบประมาณปี 2563 ราว 4,421 ล้านบาท
ทั้งนี้การผลักดันนโยบายนำยางพารามาใช้ในระยะที่ 2 กระทรวงฯ จะประเมินผลดำเนินงานทั้งหมด ว่าสามารถตอบโจทย์ในเรื่องความปลอดภัยและผลักดันราคายางพาราให้ดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน โดยจะมีการทำผลศึกษาชี้วัดเพื่อเสนอให้ ครม.พิจารณาและประเมินงบกลางในปีอื่นๆ เพื่อใช้พัฒนาโครงการต่อไป