นางสาววันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ “SPCG”เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาสที่ 1/63 มีรายได้รวมจากการขาย จำนวน 1,454.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 837.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากจำนวนกระแสไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายได้ของโซลาร์ฟาร์มทั้ง 36 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับธุรกิจโซลาร์รูฟที่ดำเนินการผ่าน บริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด (SPR) (บริษัทในเครือ SPCG) ซึ่งดำเนินธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) สำหรับบ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ และโรงงานอุตสาหกรรม มีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน คิดเป็น 72%
ส่วนของธุรกิจโซลาร์รูฟ ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้อย่างก้าวกระโดด เนื่องจากได้ต่อยอดความสำเร็จโดยพัฒนาการลงทุน Solar Roof ในรูปแบบ Leasing กับสถาบันการเงินได้ระยะเวลายาวนานถึง 15 ปี โดยได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาร่วมกับบริษัท มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ลิส แอนด์ ไฟแนนซ์ จำกัด (MUL) บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM) และบริษัท เคียวเซร่า คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น (Kyocera) เพื่อเพิ่มศักยภาพ และโอกาสการลงทุน Solar Roof สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทย เนื่องจากในแต่ละวันโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคานั้น จะเข้ามามีส่วนช่วยในการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าได้เป็นอย่างมาก สามารถนำพลังงานที่ผลิตได้จากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ มาใช้เป็นพลังงานหลักในเวลากลางวันได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้นและยังมีส่วนช่วยในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาภาวะโลกร้อนอีกด้วย จึงเชื่อมั่นว่าระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคานั้น จะได้รับความนิยมแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นต่อไป
ในส่วนของธุรกิจโซลาร์ฟาร์มนั้น SPCG ได้ลงทุนร่วมกับบริษัท เคียวเซร่า คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น (Kyocera), Kyudenko Corporation, Tokyo Century Corporation, Furukawa Electric Company Limited, Tsuboi Corporation เพื่อพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์ม “Ukujima Mega Solar Project” ขนาดกำลังการผลิตรวม 480 เมกะวัตต์ ณ เกาะ Ukujima เมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 2,700 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.92% ซึ่งมีกำหนดการพัฒนาโครงการแล้วเสร็จในปี 2566 โดยบริษัทฯ ได้มีการชำระทุนครั้งที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 1,420,242,567 เยน เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 และจะชำระทุนครั้งที่ 2 เป็นจำนวนเงิน 1,924,187,000 เยน ภายในเดือนพฤษภาคม 2563
“ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2563 เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ได้มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท หรือในสกุลเงินอื่นในจำนวนที่เทียบเท่า เพื่อเป็นการสนับสนุนการขยายธุรกิจและการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทฯ”