นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการประกาศข้อกำหนดออกตามตามความในมาตรา 9
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่1) มีผลบังคับใช้ วันที่ 26 มี.ค.63 ประกอบกับได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 9 มี.ค.63 ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งรัดดำเนินการป้องกัน ควบคุม แก้ไขปัญหา และบรรเทาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และจากการตรวจสอบการสถิติการเดินทางในช่วงเดือนมีนาคม 2563 พบว่า มีจำนวนผู้โดยสารยกเลิกการเดินทางเป็นจำนวนมาก ทำให้มีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยในแต่ละขบวนประมาณร้อยละ 50 เนื่องจากผู้โดยสารต้องการลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสดังกล่าว
ขณะเดียวกันจากการตรวจสอบระบบการสำรองตั๋วโดยสารล่วงหน้าในเดือนเม.ย. 63 พบว่า มีจำนวนผู้โดยสารสำรองตั๋วโดยสารลดลงและมีแนวโน้มลดลงเป็นจำนวนมาก ประกอบกับการขอยกเลิกและคืนเงินค่าโดยสารของผู้โดยสาร เนื่องจากรัฐบาลประกาศงดวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์และการประกาศพื้นที่เสี่ยงของการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในแต่ละจังหวัด ดังนั้น การรถไฟฯ จึงได้จึงมีความจำเป็นในการประกาศงดเดินขบวนรถเชิงพาณิชย์ในเส้นทางสายใต้ สายเหนือ และสายตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเป็นการควบคุมและป้องกัน รวมทั้งลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม โดยจะเริ่มงดเดินขบวนรถในเส้นทางดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 63 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์การจะคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารสามารถเดินทางกับขบวนรถที่มีความใกล้เคียงกับขบวนรถที่ถูกยกเลิกเพื่อเป็นการทดแทนได้ สำหรับขบวนรถที่งดเดินมีจำนวน 22 ขบวน
นายวรวุฒิฯ กล่าวต่อว่า ในด้านมาตรการเสริม ได้มีการพ่วงตู้โดยสารที่เป็นรถนั่ง และนอนประเภทต่าง ๆ เพิ่มไปกับขบวนรถที่รองรับขบวนรถที่ยกเลิกไป นอกจากนี้ได้เพิ่มจุดจอดของขบวนรถด่วนที่ 85/86 กรุงเทพ – นครศรีธรรมราช – กรุงเทพ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับผู้โดยสาร เป็นกรณีชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่ซื้อตั๋วโดยสารเดินทางกับขบวนรถดังกล่าวข้างต้น สามารถติดต่อขอคืนเงินได้ที่ช่องจำหน่ายตั๋วสถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค.63 เป็นต้นไป