‘เสื้อผ้า-รองเท้า’เล็งเวียดนาม รับมืออียูตัดสิทธิการค้ากัมพูชา

24 ก.พ. 2563 | 03:00 น.

ธุรกิจไทยลงทุนในกัมพูชาปรับแผนสู้ ลดผลกระทบอียูลงดาบตัดสิทธิทางการค้า การ์เมนต์-รองเท้าหันหัวรบลุยขยายในเวียดนามแทน “นํ้าตาลขอนแก่น” ยันผู้บริโภคอียูรับกรรม ชี้เป็นเกมการเมืองเพื่อต่อรอง

 

 

สหภาพยุโรป(อียู) ได้ประกาศผลการพิจารณาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากร (EBA) ต่อกัมพูชาแล้วเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยจะถูกถอนสิทธิในกลุ่มสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และนํ้าตาล อ้างเหตุผลกัมพูชามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและแรงงาน และสิทธิในการแสดงออกทางการเมือง ซึ่งอียูจะยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางการค้าที่มีต่อกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2563

นายประสพ จิรวัฒน์วงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไนช์กรุ๊ป ผู้ผลิตเสื้อผ้ากีฬารายใหญ่ให้กับแบรนด์เนมดัง เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันทางกลุ่มได้ลงทุนในกัมพูชาแล้วใน 4 เฟส หรือ 4 โรงงาน ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเกาะกง มีคนงานรวม 7,000-8,000 คน กำลังผลิตรวมประมาณ 25 ล้านตัวต่อปี ถือเป็นฐานการผลิตอันดับ 2 ของทางกลุ่ม โดยอันดับ 1 คือฐานผลิตในไทย และอันดับ 3 คือฐานผลิตในเวียดนาม

กรณีอียูจะถอนสิทธิทางการค้า โดยปรับขึ้นภาษีนำเข้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปจาก 0% เป็น 12% ไม่กระทบกับทางกลุ่มมาก เพราะได้ทำแผนร่วมกับลูกค้าโดยสั่งซื้อล่วงหน้า 3 ปี ขณะที่ผู้รับภาระภาษีคือผู้นำเข้าที่อาจต้องไปปรับราคาขายที่ปลายทาง อย่างไรก็ดีจากการขึ้นภาษีครั้งนี้จะทำให้ต้นทุนการผลิตจากฐานผลิตในไทยและกัมพูชาที่ส่งออกไปอียูจะใกล้เคียงกันมากขึ้น จากที่ผ่านมาต้นทุนผลิตในกัมพูชาตํ่ากว่า และลูกค้าได้ประโยชน์ไปก่อนหน้านี้แล้ว

“ฐานการผลิตในกัมพูชาเต็มกำลังการผลิตแล้ว ดังนั้นเราจะไปลงทุนขยายกำลังผลิตในเวียดนามแทน โดยที่เวียดนามได้ลงทุนและผลิตไปแล้ว 1 เฟส กำลังก่อสร้างในเฟสที่ 2 ใช้เงินลงทุนราว 300 ล้านบาท เพิ่มกำลังผลิตอีก 6-7 ล้านตัวต่อปี คาดกลางปีนี้โรงงานจะแล้วเสร็จ เมื่อรวมทั้ง 2 เฟสจะมีกำลังผลิต 12-14 ล้านตัวต่อปี และเมื่อรวมทั้ง 3 ฐานการผลิตทั้งในไทย กัมพูชา เวียดนาม ในปี 2563 เราตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 68-69 ล้านตัว มูลค่า 530-550 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (หรือ 15,900-16,500 ล้านบาท คำนวณที่ 30 บาทต่อดอลลาร์) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12-15%”

นายธำรง ธิติประเสริฐ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า โรงงานรองเท้าของไทยที่ไปตั้งในกัมพูชามีน้อยมาก จากกัมพูชามีประชากรเพียง 15 ล้านคน และมีปัญหาขาดแคลนแรงงานในการผลิต หากอียูตัดสิทธิประโยชน์ทางการค้า โดยขึ้นภาษีนำเข้ารองเท้าเป็น 8% (เดิม 0%) คงกระทบโรงงานไทยที่ไปตั้งในกัมพูชาเพื่อส่งออกไปอียูบ้าง ทั้งนี้หากเห็นว่าลงทุนแล้วไม่คุ้ม ผู้ประกอบการอาจพิจารณาหาฐานผลิตใหม่ เช่นย้ายไปตั้งในเวียดนามที่เวลานี้เวียดนามได้บรรลุความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับอียูแล้ว และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคมนี้ จะทำให้สินค้ารองเท้า และหลายสินค้าได้รับการยกเว้นภาษีส่งออกไปอียู

ด้านายชลัช ชินธรรมมิตร์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท นํ้าตาลขอนแก่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้เข้าไปลงทุนตั้งโรงงานนํ้าตาลในกัมพูชาที่เกาะกงมากว่า 10 ปีแล้ว เป้าหมายเพื่อส่งออกไปตลาดอียู ส่งออกได้ประมาณ 1-2 หมื่นตันต่อปี โดยได้รับสัมปทานเช่าพื้นที่ปลูกอ้อยจากรัฐบาลกัมพูชาและส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่ปลูกป้อนโรงงาน ถือเป็นโรงงานนํ้าตาลแห่งเดียวของไทยในกัมพูชาในเวลานี้ อย่างไรก็ดีบริษัทได้หยุดดำเนินกิจการมา 1 ปีแล้ว ปีนี้จะหยุดอีกเป็นปีที่ 2 จากมีปัญหา เช่น พื้นที่เช่าจากรัฐบาลมีเกษตรกรไปร้องเรียนว่าไปแย่งที่ หรือบุกรุก ปัญหาด้านช่างเทคนิคไม่เพียงพอ ทำให้มีปัญหาด้านวัตถุดิบและต้นทุนสูง

 

“การเตรียมขึ้นภาษีนํ้าตาลจากกัมพูชาของอียู ไม่ใช่ประเด็นหลักที่กระทบต่อธุรกิจของบริษัทในกัมพูชา เพราะถ้าภาษีนำเข้านํ้าตาลของอียูปรับสูงขึ้น ราคานํ้าตาลนำเข้าก็จะสูงขึ้น ผู้บริโภคก็จะรับกรรม รัฐบาลอียูก็จะถูกประชาชนต่อว่าเอง จากเวลานี้ราคานํ้าตาลทรายในอียูเฉลี่ยที่ 1 ยูโร หรือประมาณ 34 บาทต่อกิโลกรัม บริษัทรอดูสถานการณ์อีกสักพัก หากมีผู้ร่วมทุนก็จะดำเนินการต่อ หรืออาจขายโรงงานเพื่อไปทำอย่างอื่น”

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) กล่าวว่า ต้องจับตากัมพูชาจะสามารถเจรจากับอียูเพื่อให้ทบทวนก่อนเส้นตายได้หรือไม่ หากไม่ได้ และกัมพูชาถูกถอนสิทธิ นอกจากจะกระทบทางตรงต่อธุรกิจไทย และธุรกิจของต่างชาติที่ได้ลงทุนในกัมพูชา และมีการส่งออกไปอียูแล้ว จะกระทบทางอ้อมทำให้ชาวกัมพูชามีกำลังซื้อลดลง
จากสินค้ากลุ่มหลักของกัมพูชาที่ส่งออกไปอียูอยู่ในกลุ่มสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม และรองเท้า มีแรงงานรวมกันกว่า 7.5 แสนคน อาจส่งผลให้สินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยที่ส่งออกไปกัมพูชาลดลงด้วย

หน้า 11 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3551 วันที่ 23-26 กุมภาพันธ์ 2563