ซัดกันเดือด จีนลั่นมะกัน “ยั่วยุ” กรณีสั่งปิดสถานกงสุลในฮิวสตัน

23 ก.ค. 2563 | 21:00 น.

สถานทูตจีนแถลงพร้อมตอบโต้สหรัฐ กรณีถูกสั่งปิดสถานกงสุลในเมืองฮิวสตัน ชี้เป็นการจงใจยั่วยุทางการเมือง ขณะที่ทรัมป์ย้ำจีนจารกรรมข้อมูล สหรัฐจะไม่ปิดแค่แห่งเดียว อาจมีสั่งปิดสถานกงสุลจีนเพิ่มเติมอีก

 

ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา กลับมาร้อนระอุ เมื่อสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐอเมริกาออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ (23 ก.ค.) ว่า การที่ รัฐบาลสหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตัน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (22 ก.ค.) โดยให้เวลา 72 ชั่วโมง ถือเป็น การยั่วยุทางการเมือง เป็นการกระทำที่ระรานและไม่เป็นธรรม ซึ่ง ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐ   

ด้านหน้าสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตัน

"การที่สหรัฐสั่งให้สถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตันยุติการดำเนินงานและกิจกรรมต่าง ๆภายในเวลาที่สหรัฐกำหนดนั้น ถือเป็นการยั่วยุทางการเมืองโดยสหรัฐเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ หลักการพื้นฐานด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และข้อตกลงด้านกงสุลระดับทวิภาคีระหว่างจีนและสหรัฐอย่างรุนแรง" ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุ

 

สถานทูตจีนยังแถลงด้วยว่า จีนขอประณามและคัดค้านการกระทำที่รุกรานและไม่เป็นธรรมซึ่งบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐจนถึงที่สุด  และยังย้ำด้วยว่า ตลอดมานั้น จีนยึดมั่นในหลักการของการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ๆ

 

โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนยังได้แถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อวันพุธ (22 ก.ค.)ว่า จีนจะใช้มาตรการตอบโต้อย่างแน่นอน โดยจะเป็นการ “ตอบโต้” ตามความจำเป็น หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐให้เวลาจีน 72 ชั่วโมงในการปิดสถานกงสุลในเมืองฮิวสตันโดยอ้างเหตุผลว่า จีนกระทำการโจรกรรมข้อมูลลับในสหรัฐ

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เพราะอะไรสงครามเย็นสหรัฐ-จีน คุกคามโลกยิ่งกว่าโควิด-19

“จีน-สหรัฐ”เผชิญหน้าขัดแย้งรุนแรงรอบ 40 ปี

สหรัฐเปิดศึกจีน เล่นงาน "หัวเว่ย" อีกรอบ

จีนยั๊วะสหรัฐฯ กล่าวหาถือครองอธิปไตยทะเลจีนใต้มิชอบ

คำขู่ของจีนดูจะไม่เป็นผล เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐจะสั่งปิดสถานกงสุลของจีนในสหรัฐเพิ่มเติมอีก หลังจากที่ได้สั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตันไป 1 แห่ง ทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่า หลังจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแจ้งให้จีนปิดสถานกงสุลดังกล่าวภายในเวลา 72 ชั่วโมง ก็มีรายงานข่าวได้เกิดการเผาไหม้บางอย่างภายในบริเวณสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตันและมีควันพวยพุ่งไปทั่ว สันนิษฐานว่าอาจมีความพยายามเผากระดาษหรือเอกสารต่าง ๆ ขณะที่นักดับเพลิงของสหรัฐไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพื้นที่ดังกล่าว  

 

หนังสือพิมพ์เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า มีความเป็นไปได้ที่จีนจะตอบโต้สหรัฐด้วยการสั่งปิดสถานกงสุลสหรัฐในจีน เช่นสถานกงสุลที่เมืองเฉิงตู ทั้งนี้ สื่อฮ่องกงอ้างอิงคำพูดของแหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่จีนที่ไม่ประสงค์ออกนาม

 

ด้านนายหู สีจิน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์โกลบอลไทมส์ สื่อหลักของรัฐบาลจีน เปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ @HuXijin_GT ว่า สหรัฐได้ให้เวลาจีน 72 ชั่วโมงในการปิดสถานกงสุลแห่งนี้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลเชื่อว่าเป็นเกมการเมือง และเป็นความพยายามของสหรัฐที่จะ “เบี่ยงเบน” ความสนใจของผู้คนออกไปจากประเด็นต่าง ๆที่เป็นความล้มเหลวหรือความผิดพลาดของรัฐบาลสหรัฐเองเนื่องจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐกำลังใกล้เข้ามา และจีนก็ตกเป็นผู้รับเคราะห์ที่ต้องถูกกล่าวหาใส่ความในเรื่องต่าง ๆ แทน

 

“การเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย.นี้ ทำให้รัฐบาลสหรัฐคลั่งไปแล้ว” บก.โกลบอลไทม์ส ระบุ

 

หนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี สื่อของรัฐบาลจีนฉบับภาษาอังกฤษ ตีพิมพ์บทบรรณาธิการขานรับในทิศทางเดียวกัน โดยประณามว่า การเคลื่อนไหวของสหรัฐในเรื่องนี้ เป็น “เล่ห์เหลี่ยมใหม่” ของรัฐบาลสหรัฐที่จะใส่ร้ายป้ายสีให้จีนกลายเป็นผู้ร้ายในเวทีโลก และกลายเป็นผู้ทำผิดกฎหมายในประชาคมโลก

 

“ความเคลื่อนไหวของสหรัฐในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการที่โพลหลายสำนักชี้ว่า ผู้นำสหรัฐกำลังตามหลังคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมาถึง ทำให้เขาหันมาพยายามทำทุกวิถีทางที่จะสร้างภาพให้จีนกลายเป็นบ่อเกิดความเลวร้ายทั้งปวง”

 ในการแถลงเหตุผลการสั่งปิดสถานกงสุลจีนในฮิวสตันเมื่อวันพุธ (22 ก.ค.) นั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐระบุว่า เพื่อเป็นการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและข้อมูลลับของสหรัฐ แต่ก็ไม่ได้ให้คำอธิบายอะไรมากไปกว่านั้น

 

ขณะเดียวกันในกรุงปักกิ่ง นายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ชี้ว่าการสั่งปิดสถานกงสุลจีนเป็นการกระทำตามอำเภอใจแต่เพียงฝ่ายเดียวของสหรัฐ และเป็นการเร่งพฤติกรรมคุกคามจีนเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้น จีนขอเตือนให้สหรัฐรีบแก้ไขการตัดสินใจผิด ๆ เหล่านี้ แต่หากสหรัฐยังยืนยันที่จะเดินหน้าในเส้นทางที่ผิด จีนก็จะตอบโต้อย่างสาสมกัน แม้จะไม่ได้ชี้ชัดว่าจีนจะตอบโต้อย่างไร แต่ก็เชื่อว่าเป็นไปได้ที่ การตอบโต้อย่าง“สาสมกัน” คือการสั่งปิดสถานกงสุลสหรัฐในจีน

 

ทั้งนี้ นอกจากสถานทูตสหรัฐในกรุงปักกิ่งแล้ว สหรัฐยังมีสถานกงสุลอยู่ในจีน 5 แห่ง คือในเมืองเซี่ยงไฮ้ กวางโจว เฉิงตู อู่ฮั่น และเฉินหยาง

 

ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐที่กำลังเสื่อมถอยลงอยู่แล้วในหลายประเด็นตั้งแต่ประเด็นการค้า การกล่าวหา-กล่าวโทษกันในเรื่องต้นเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อ “โควิด-19”  นโยบายของจีนที่มีต่อฮ่องกง การละเมิดสิทธิมนุษยชนของชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในซินเจียง และการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในทะเลจีนใต้

 

แดเนียล รัสเซล ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์จีน-สหรัฐ จากสถาบัน Asia Society Policy Institute และอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐด้านกิจการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกสมัยรัฐบาลประธานาธิบดีบารัก โอบามา ให้ความเห็นว่า การปิดสถานกงสุลจีนและกล่าวหาเจ้าหน้าที่การทูตจีนเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้รัฐบาลจีนออกมาตรการตอบโต้อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างแน่นอน

 

“สิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นการลดช่องทางทางการทูตระหว่างทั้งสองฝ่ายที่เหลือน้อยอยู่แล้ว และเป็นก้าวย่างที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยากจะถอยกลับ” รัสเซลกล่าว

 

ก่อนหน้านี้ สหรัฐกล่าวหาจีนมาโดยตลอดว่าขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและเทคโนโลยีของสหรัฐ ซึ่งข้อกล่าวหานี้เป็นประเด็นแกนหลักที่นำไปสู่สงครามการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายในช่วงกว่าปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าจีนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ก็รับปากว่าจะแก้ไขบางปัญหาที่เป็นความกังวลใจของสหรัฐภายใต้ข้อตกลงทางการค้าเฟสแรกที่ลงนามกันไปเมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการแก้ไขกฎระเบียบ เลิกบังคับให้บริษัทอเมริกันที่ลงทุนในจีนต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทจีน

 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เปิดเผยว่า นอกเหนือจากสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันดีซีแล้ว จีนยังมีสถานกงสุลในสหรัฐอีก 5 แห่ง ส่วนสถานกงสุลในฮิวสตันนั้นเปิดมาตั้งแต่ปี 2522 เป็นสถานกงสุลจีนแห่งแรกที่เปิดในสหรัฐในปีที่จีนและสหรัฐสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน โฆษกยืนยันว่าสถานกงสุลแห่งนี้ดำเนินการตามปกติ แต่ไม่ได้ตอบคำถามที่ว่ามีการเผาเอกสารในบริเวณสถานกงสุลหรือไม่

 

ขณะที่การเผชิญหน้ากำลังดำเนินอยู่นี้ สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐ (Federal Bureau of Investigation) หรือ เอฟบีไอ ได้ออกมาระบุว่า เอฟบีไอเชื่อว่า นักวิจัยคนหนึ่งของจีนที่ตกเป็นผู้ต้องหาปลอมแปลงวีซ่าเพื่อบิดบังสถานะของตัวเองที่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีน ได้แอบเข้ามาซ่อนตัวในสถานกงสุลจีนในซานฟรานซิสโกเป็นเวลา 1 เดือนแล้ว

 

ในสำนวนฟ้องที่ยื่นต่อศาลแขวงในซานฟรานซิสโกระบุว่า นางจวน ถัง นักวิจัยจีนซึ่งทำงานที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ให้ข้อมูลเท็จในเอกสารยื่นขอวีซ่า ว่าเธอไม่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีน แต่จากการตรวจสอบข้อมูลของฝ่ายสหรัฐพบว่า มีภาพถ่ายของนักวิจัยผู้นี้ในชุดเครื่องแบบทหารจีนและยังพบว่า เธอทำงานเป็นนักวิจัยให้กับมหาวิทยาลัยแพทย์ทหารของกองทัพอากาศจีน

 

เอฟบีไอได้เรียกเธอไปสอบปากคำเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา และหลังจากนั้นจวน ถัง ได้ไปที่สถานกงสุลจีนในซานฟรานซิสโกซึ่งเอฟบีไอเชื่อว่า เธอยังคงพำนักอยู่ในนั้น นักวิจัยผู้นี้ถูกแจ้งข้อหาทุจริตเอกสารวีซ่าเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ที่ผ่านมา

 

ดังนั้น นอกจากสถานกงสุลจีนในสหรัฐจะถูกกล่าวหาเป็นช่องทางการทูตที่เกี่ยวข้องกับการจารกรรมข้อมูลลับของสหรัฐแล้ว คดีของนักวิจัยข้างต้นนี้ ยังทำให้สถานกงสุลจีนกลายเป็นแหล่งกบดานของผู้กระทำผิดกฎหมายในสหรัฐอีกด้วย     

ข้อมูลอ้างอิง

U.S. gives China 72 hours to shut Houston consulate, Trump says other closures 'always possible'

US orders closure of Chinese consulate in Houston

Trump hints at closure of more Chinese consulates as China fumes