“ปิยบุตร”ควรหยุดละเมิดสิทธิเสรีภาพส.ส. เหตุทำให้พรรคถูกยุบ

26 กุมภาพันธ์ 2563

รองโฆษก พปชร. ชี้นายปิยบุตร ควรหยุดละเมิดสิทธิเสรีภาพ  ควรแสดงความรับผิดชอบต่อ ส.ส. เพราะมีส่วนทำให้พรรคโดนยุบ  ไม่ใช่ไล่วิจารณ์ ส.ส. ที่ต้องหาพรรคสังกัดใหม่ตามกฎหมาย จี้ถามหรือตั้งพรรคใหม่ไว้รอแล้ว

 

วันที่ 26 ก.พ. 63 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ และอดีตผู้สมัครส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี กล่าวถึงกรณีที่นายปิยบุตร อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ออกมาวิจารณ์ ส.ส. ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ที่ดำเนินการหาสังกัดเข้าพรรคอื่นว่า เวลาที่นายปิยุบตรส่องกระจก เงาสะท้อนที่นายปิยบุตรเห็นนั้น เคยมีข้อบกพร่องบ้างหรือไม่  จึงออกมาวิจารณ์ไล่หลัง ส.ส. ของอดีตพรรคที่ "ต้องหาสังกัดพรรคอื่นตามกฎหมาย" ทั้งๆ ที่นายปิยบุตรควรยอมรับว่าเป็นความรับผิดชอบในฐานะนักกฎหมายที่มีส่วนทำให้พรรคฝ่าฝืนกฎหมายจนถูกยุบพรรค  นายปิยบุตรควรแสดงความรับผิดชอบต่อ ส.ส. ของพรรคเพราะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงที่เชื่อผู้นำทางกฎหมายไสตล์นายปิยบุตร ไม่ใช่มาวิจารณ์เขาทางลบ  ส.ส. เหล่านั้นอาจไม่ได้อยากย้ายพรรค แต่ที่ต้องทำเพราะไม่มีพรรคเดิมให้อยู่แล้ว หรือว่าการที่นายปิยบุตรไม่พอใจเพราะได้ดำเนินการตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อรองรับ ส.ส. แล้ว


“ถ้าตามความเห็นของนายปิยบุตรที่ว่าพรรคการเมืองมีเสรีภาพสามารถทำทุกอย่างได้ที่กฎหมายไม่ได้ห้าม ดังนั้น ส.ส. ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ก็ย่อมมีเสรีภาพดังกล่าวเช่นกัน ส.ส. มีเสรีภาพที่จะสังกัดพรรคใดๆ เพราะข้อบังคับของพรรคอนาคตใหม่ที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์พรรคและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2561  "ไม่มีข้อใดกำหนดห้ามให้ ส.ส. ไปสังกัดพรรคอื่นทั้งในขณะที่ยังมีพรรคอยู่หรือเมื่อพรรคได้ยุบไปแล้ว" ดังนั้นการแสดงความไม่พอใจและวิจารณ์ ส.ส. กลุ่มดังกล่าวอาจเป็นการทำที่นอกเหนืออำนาจที่นายปิยบุตรมีและย้อนแย้งกับหลักกฎหมายของนายปิยบุตร” น.ส.ทิพานันกล่าว

“นายปิยบุตรควรฟังเสียงสะท้อนข้อบกพร่องของตนเองบ้างเพราะ ส.ส. ที่ย้ายไปสังกัดพรรคอื่น ต่างได้ให้เหตุผลว่า พรรคใหม่เน้นการทำงาน ประกอบกับสภาพแวดล้อมของพรรค อยู่กันแบบพี่แบบน้อง ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นหรือยศถาบรรดาศักดิ์ จึงอาจแสดงว่าที่ผ่านมาพรรคอนาคตใหม่อาจไม่ได้ทำตามข้อบังคับของพรรค ข้อ 25 ที่กำหนดความรับผิดชอบของพรรคต่อสมาชิกว่า ต้องส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของสมาชิกพรรคในการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจทางการเมือง และให้ความเป็นธรรมแก่สมาชิกภายใต้กรอบแห่งกฎหมายและข้อบังคับ รวมถึง ส.ส. อาจจะเห็นจากประสบการณ์ที่พรรคไม่เคยขอโทษต่อการกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของ 4 ส.ส. ที่พรรคเคยมีมติไล่ออกและยังก่อให้เกิดความขลุกขลักของการย้ายพรรคโดยอ้างว่ามติไม่สมบูรณ์ ไม่ครบองค์ประชุมจน ส.ส. ที่ได้รับผลกระทบต้องหาคลิปพยานหลักฐานการนับองค์ประชุมมายืนยันเพื่อให้พรรคดำเนินการต่อให้เป็นไปตามกำหมาย ดังนั้นนายปิยบุตรควรพิจารณาเสียงสะท้อนและปรับปรุงข้อบกพร่องในการร่วมบริหารพรรคของตนเอง”

รองโฆษกพรรคฯ ยังกล่าวต่ออีกว่า “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนล้วนมีอุดมการณ์ที่จะทำงานเพื่อพัฒนาประเทศชาติและให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ดังนั้น ส.ส. ต้องสะท้อนเสียงของประชาชนเข้ามาในสภาฯ ซึ่งเมื่อไม่มีพรรคเดิมให้อยู่แล้ว เขาก็ต้องหาพรรคใหม่ที่พร้อมและเปิดโอกาสให้เขาทำงานในหน้าที่ผู้แทนราษฎรอย่างเต็มที่ เต็มศักดิ์ศรี ไม่ใช่ทำงานเพื่อให้จำนวนแฮชแทกติดอันดับตามที่นายปิยบุตรกำชับผู้ที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนอภิปราย ว่าขอให้ทำให้เต็มที่ให้ "แฮชแทกประชุมสภาและแฮชแทกอภิปรายไม่ไว้วางใจขึ้นอันดับ 1"  ซึ่ง ส.ส. หลายคนอาจมีความเห็นต่าง เขาอาจเห็นว่าแฮชแทกไม่ได้ช่วยทำให้ประเทศพัฒนาและไม่ได้ทำให้ประชาชนที่เลือกเขามามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ใช่ผู้แทนของจำนวนแฮชแทก

“และขอย้ำอีกครั้งว่า ทุกเสียงที่เลือกพรรคทุกพรรคไม่ได้ขาดตกไปไหน ยังเป็น ส.ส. อยู่ แต่เสียงที่เคยเลือกพรรคอนาคตใหม่ได้ลดลงอยากน่าตกใจ ซึ่งเป็นเพราะการขาดประสิทธิภาพในการทำงานที่ผ่านมาของพรรคที่จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นหรือไม่ พรรคอนาคตใหม่มักกล่าวอ้างว่าได้รับเลือกตั้งมา 6,300,000 เสียง แต่อาจเป็นจำนวนเสียงที่มาจากพรรคอื่นและเป็นเสียงของประชาชนที่อาจหลงเชื่อในนโยบายของพรรค  ซึ่งเมื่อได้เข้ามาทำงานในสภาฯ แล้ว ประชาชาชนอาจเห็นว่าไม่ได้มีผลงานช่วยพัฒนาชาติบ้านเมืองและทำให้ให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข ดังนั้นพรรคอนาคตใหม่จึงแพ้การเลือกตั้งซ่อม มีเสียงลงชื่อคัดค้านการยุบพรรคอนาคตใหม่เพียง 30,000 เสียง ทำให้น่าสนใจว่าเสียงที่อาจขาดหายไป 6,270,000 เสียงเป็นเพราประชาชนตาสว่าง แกะกล่องของขวัญออกมาแล้วเจอแต่ความว่างเปล่า หรือว่าเสียงดังกล่าวมันไม่เคยมีอยู่มาตั้งแต่ต้นเพราะเป็นเสียงของพรรคอื่น” น.ส.ทิพานันทิ้งท้าย