“ดร.สังศิต”ร่ายยาวยันรังสิตโพลล์ทำตามหลักวิชาการ-น่าเชื่อถือ

04 ธ.ค. 2561 | 12:31 น.
"ดร.สังศิต"เขียนบทความร่ายยาว ยัน"รังสิตโพลล์”ทำตามหลักวิชาการ ความเชื่อมั่นสูง ต่างจากโพลล์อื่นๆ

หลัง "วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต" เผยผลสำรวจความเห็นประชาชนกว่า 8,000 ตัวอย่างทั่วประเทศ อยากให้ใครเป็น "นายกรัฐมนตรี" โดยผลโพลล์ระบุว่า ประชาชนอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ มาเป็นอันดับ 1 ด้วยคะแนน 27.06% ทิ้ง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อันดับ 2 ที่ได้ 18.16% ตามด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 15.55%

ทั้งยังได้เผยสาเหตุที่มทำให้ "พรรคเครือข่ายทักษิณ" ถึงจุดตกต่ำ พร้อม ๆ กับปัจจัยที่ทำให้พรรคคู่แข่งสำคัญในศึกเลือกตั้งครั้งหน้าอย่าง "พรรคพลังประชารัฐ" เบียดแทรกขึ้นมา แบบที่ไม่เคยมีพรรคไหนทำได้มาก่อน

แต่หลังผลโพลล์เผยแพร่ออกไป มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในเรื่องความน่าเชื่อถือ

สังศิต3

ล่าสุด "รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์" คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะผู้อำนวยการโครงการสำรวจความนิยมต่อนักการเมืองที่ประชาชนปรารถนาให้เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เขียนบทความเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง “รังสิตโพลล์: อะไรและทำไม” ความว่า

พลันที่รังสิตโพลล์เปิดเผยผลการศึกษา เรื่องนี้กลายเป็นข่าวหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ มีการรายงานข่าวตามสื่อต่างๆ อย่างกว้างขวางทั้งทีวี วิทยุ และใน social media มีทั้งสื่อมวลชน นักวิชาการ นักการเมืองที่เห็นด้วยและที่ตั้งข้อสังเกต ส่วนบางคนคงโกรธผมพอประมาณ

ตลอดระยะเวลาเวลากว่า 30 ปี งานวิจัยของผมก็เป็นที่ถกเถียงว่าน่าเชื่อถือหรือไม่น่าเชื่อถือมาโดยตลอด แต่งานวิจัยของผมมักถูกนำไปโยงกับการเมืองอยู่เสมอทั้งๆ ที่ไม่มีความตั้งใจเช่นนั้นเลย งานวิจัยชิ้นแรกที่ผมทำร่วมกับอาจารย์ผาสุก พงษ์ไพจิตร เรื่อง "คอร์รัปชั่นกับประชาธิปไตย" กลายเป็นข่าวใหญ่หน้า 1 ของหนังสือพิมพ์อยู่ราว 3อาทิตย์ ประเด็นที่ถกเถียงกันคือผมเห็นว่าพรรคการเมืองที่มาจากเจ้าพ่อท้องถิ่นและเป็นรัฐบาลอยู่ในขณะนั้นคอร์รัปชั่นมากที่สุด ซึ่งคนจำนวนหนึ่งไม่เชื่อ พวกเขาเชื่อว่าพรรคการเมืองเป็นพลังขับเคลื่อนประชาธิปไตย

และเมื่อหัวหน้าพรรคการเมืองนั้น ประกาศฟ้องผมในข้อหาหมิ่นประมาททั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศในขณะนั้น เพราะเขาเชื่อว่าผมมีเจตนาร้ายต่อพรรคของเขา เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นเสรีภาพในทางวิชาการกับอำนาจทางการเมือง ผลลัพธ์ที่ดีประการหนึ่งของเรื่องนี้คือมีการบรรจุเรื่องเสรีภาพในการวิจัยและการทำงานวิชาการในรัฐธรรมนูญปี 2540

งานวิจัยชิ้นถัดมาที่ผมทำร่วมกับอาจารย์ผาสุกและอาจารย์นวลน้อย ตรีรัตน์ เรื่อง "เศรษฐกิจนอกกกฎหมาย:หวย ซ่อง บ่อน ยาบ้า" งานวิจัยชิ้นนี้ต้องการประมาณการขนาดของเศรษฐกิจผิดกฎหมาย 4-5 เรื่องเพื่อเปรียบเทียบกับ official GDP ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นใหญ่ทั้งสังคมสื่อมวลชนรายงานและวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ เพราะงานวิจัยส่วนที่ผมรับผิดชอบคือเรื่องหวยใต้ดินและบ่อนการพนันผิดกฎหมายนั้น ผมไม่เพียงแต่ประมาณการขนาดของเงินหมุนเวียน (turnover) กำไรที่เกิดขึ้น แต่ผมยังแจกแจงว่าผลกำไรนั้นแจกจ่าย (distribution) กันอย่างไร

สังศิต2

ข้อเสนอของผมในขณะนั้นคือมีส่วยตำรวจเกิดขึ้น ต้องเข้าใจว่าสังคมไทยในขณะนั้นมีคนจำนวนมากรู้ว่ามีส่วยตำรวจอยู่ แต่เพราะอำนาจที่ล้นฟ้าของตำรวจที่กดทับสังคมเอาไว้ ทำให้ไม่มีใครกล้าพูดเพราะเกรงอันตรายต่อชีวิต ผลที่ติดตามมาจากงานวิจัยชิ้นนี้มีหลายประการคือ

1.ตำรวจส่งกำลังไปปิดล้อมบ้านผมเอาไว้เพื่อจะจับตัว

2.อธิบดีกรมตำรวจออกคำสั่งให้ผู้กำกับทุกโรงพักทั่วประเทศแจ้งความดำเนินคดีผมในข้อหาหมิ่นประมาท

3.ความรู้ (knowledge) และความจริง (truth) ของสังคมไทยเรื่องส่วยตำรวจมาแทนที่ความจริงชุดเก่าที่ว่าตำรวจไม่ได้รับส่วยจากธุรกิจการพนัน

4.เมื่อสังคมตื่นตัวเรื่องนี้ขึ้นมาและผมประกาศยืนยันว่านี่เป็นงานวิจัย ใครจะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้เพราะงานวิจัยในตัวของมันเองไม่เคยมีความสมบูรณ์ และผมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าอธิบดีกรมตำรวจหมดความชอบธรรมในตำแหน่งแล้ว 24 ชั่วโมงหลังจากนั้นอธิบดีกรมตำรวจถูกสั่งย้ายให้ไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

เป็นเรื่องน่าสนใจที่จะตั้งคำถามว่าในเมื่อมีสถาบันการศึกษาหลายแห่งที่ทำโพลล์อยู่แล้วมาเป็นเวลาหลายปีอย่างเนื่อง แต่โพลล์เหล่านั้นเพียงแต่ถูกรายงานในสื่อมวลชน แต่มักไม่มีการถกเถียงกันอย่างเอาจริงเอาจังเหมือนรังสิตโพลล์

ผมคิดว่ารังสิตโพลล์แตกต่างจากโพลล์ทั่วไปอย่างน้อย 2 ประการ คือ ประการแรก รังสิตโพลล์เป็นการทำโพลล์ตามหลักวิชาการจริง เพราะเราเอาโครงสร้างของประชากรทั้งประเทศที่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งเป็นฐาน มีการกระจายตัวอย่างตามภูมิภาค  อาชีพ เพศ อายุ ระดับการศึกษาและอื่นๆ ระดับความเชื่อมั่นของเราสูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์ (เวลาออกข่าวถ่อมตัวว่า 90 เปอร์เซ็นต์)

ในขณะที่โพลล์อื่นๆ นั้นใช้ตัวอย่างระหว่าง 1,200-2,000 โดยประมาณ สำหรับผมแล้วนี่ไม่ใช่โพลล์ในความหมายของมันจริงๆ แต่น่าจะเรียกว่าเป็นการสำรวจทัศนคติ (attitude) ของคนจำนวนหนึ่งอาจจะเป็น 2,000-3,000 คน ในประเด็นหนึ่งๆ เท่านั้น

ประการที่สอง โพลล์ทั่วไปนั้นเพียงแต่รายงานผลลัพธ์ของการศึกษาเท่านั้น แตกต่างจากรังสิตโพลล์ที่เรามีการวิเคราะห์และตีความประกอบกันไปด้วย ในการวิเคราะห์ผมเริ่มต้นจากการใช้ปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษวิธี (dialectical materialism) ของ Karl Marx นักปรัชญาชาวเยอรมันที่วิพากษ์ปรัชญาทั้งหมดในยุโรปก่อนหน้าว่าปรัชญาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เพียงเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ แตกต่างจากปรัชญาของเขาที่ไม่ใช่เพียงเพื่ออธิบาย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการเปลี่ยนแปลง Marx สร้างปรัชญาของเขาจากการวิพากษ์ปรัชญา dialectic ของ Hegel และวิพากษ์ปรัชญา materialism ของ Feuerbach

สาระที่สำคัญประการหนึ่งของปรัชญาของ Marx คือเขาเสนอว่าเราไม่ควรให้ความสนใจกับสถาบันด้านเศรษฐกิจการเมืองที่ดูเหมือนเข้มแข็งและมั่นคงแล้ว (establishment) ในทางตรงกันข้ามเขาเสนอว่าเราควรสนใจพลังที่กำลังเกิดขึ้นใหม่และกำลังจะเป็นพลังแห่งอนาคต แนวคิดในการวิเคราะห์แบบนี้จึงให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์แบบแนวโน้ม (tendency) มากกว่าการวิเคราะห์สถานการณ์ ณ จุดใดจุดหนึ่ง (static) แบบที่นักวิชาการไทยทั่วไปนิยมกัน

ในการวิเคราะห์ผลของโพลล์ผมจึงพิจารณาจากแนวโน้มคะแนนนิยมของผู้นำพรรค คะแนนนิยมของพรรค และการผลิตสร้างนโยบายพรรคใหม่ๆ ของแต่ละพรรค

อย่างไรก็ดี ผมอยากจะกล่าวว่า ขณะนี้มีแต่พรรคพลังประชารัฐเท่านั้นที่เริ่มทะยอยประกาศนโยบายพรรคออกมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่พรรคอื่นๆ ยังไม่ได้ประกาศนโยบายพรรคของพวกเขาเลย ตลอดเวลาก่อนถึงวันเลือกตั้งคะแนนนิยมของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีและคะแนนนิยมพรรคยังอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ หากมีเหตุปัจจัยสำคัญแทรกซ้อนเข้ามา แต่หากแนวโน้มคะแนนนิยมของพรรคพลังประชารัฐยังมีแรงขับเคลื่อนเหมือนกับในขณะนี้ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็หลีกเลี่ยงได้ยาก

ทุกอย่างเป็นไปตามกฎแห่งกรรม มีเกิด มีเสื่อมไปเป็นธรรมดา พรรคการเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับคะแนนนิยมสูง จนดูเหมือนว่าจะได้ครอบครองอำนาจตลอดไป แต่ในขณะนี้ได้เกิดพลังที่ใหม่กว่า กระชุ่มกระชวยกว่า มีพลานุภาพเหนือกว่า เอาชนะใจคนส่วนใหญ่ได้มากกว่า หากไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นก่อน ดูเหมือนว่าผลแพ้ชนะในการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าได้ถูกตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว

ติดตามฐาน