เค.ซี. วีลล์ งัดกลยุทธ์สู้ศึกเล็งเพิ่มพรีเมียมแบรนด์

25 มิ.ย. 2559 | 13:00 น.
เค.ซี. วีลล์ วาดฝันรายได้ปี 59 ทะลุ 1.2 พันล้านบาท เร่งเจรจาแบรนด์ล้อแมกซ์ 2- 3 เจ้าหวังเจาะกลุ่มพรีเมียม-ซูเปอร์คาร์ พร้อมรุกตลาด CLMV หลังแนวโน้มความต้องการเพิ่มสูงขึ้น

นายพิชาญ พรหมเมฆประธาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เค.ซี. วีลล์ แอนด์ ไทร์ จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายยางและล้อแมกซ์รถยนต์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายยางยี่ห้อ TRI-ACE และเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของล้อแมกซ์ เวอร์ทินี (VERTINI) จากสหรัฐอเมริกา ,โปรไดร์ฟ(PRODRIVE) ซึ่งบริษัทฯเป็นพาร์ทเนอร์ได้รับสิทธิในการผลิต,เวลด์(WELD) จากสหรัฐอเมริกา และเฟอราโร่ (FERRARO) โดยแผนงานในปีนี้เตรียมจะทำตลาดเพิ่มอีก 2 -3 แบรนด์ ที่เป็นล้อแมกซ์พรีเมียมซูเปอร์คาร์ และรถในกลุ่ม 2,000 ซีซี หรือรถราคา 2 ล้านบาทขึ้นไป

"ตลาดยางและล้อแมกซ์ในกลุ่มพรีเมียมไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว เช่นเดียวกับกลุ่มรถปิคอัพ ส่วนกลุ่มรถยนต์นั่ง รถอีโคคาร์ หดตัวเล็กน้อย ซึ่งจากทิศทางตลาดที่เกิดขึ้น ทำให้เรากำลังพิจารณาที่จะเพิ่มแบรนด์ในกลุ่มพรีเมียมหรือซูเปอร์คาร์ โดยตอนนี้มีการพูดคุยเจรจาแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป คาดว่าเร็วๆนี้จะได้เห็นแน่นอน ขณะที่แผนการตลาดของบริษัทฯจะไม่เน้นกลยุทธ์ราคา หรือโปรโมชั่นแรงๆ โดยบริษัทฯมีสินค้าเริ่มต้นตั้งแต่ 2.,500 บาทต่อวงไปจนถึง 1.5 แสนบาทต่อวง นอกจากนั้นแล้วจะเจาะกลุ่มเป้าหมายโดยตรง อาทิ มอเตอร์สปอร์ต ผ่านทีมแข่งในรายการต่างๆ "

นายพิชาญ กล่าวเพิ่มเติมว่า สินค้าประเภทล้อแมกซ์หรือล้อยางเป็นสินค้าในกลุ่มแฟชั่น ดังนั้นบริษัทฯมีการให้ความสำคัญกับทีมอาร์ แอนด์ ดี โดยมีทีมที่จะพัฒนาสินค้าตามซีซั่นต่างๆและครอบคลุมทั้งรถในกลุ่มพรีเมียม ไปจนถึงแบรนด์ทั่วไปในท้องตลาด ขณะที่ความพร้อมด้านโรงงาน ปัจจุบันมีโรงงาน 3 แห่งได้แก่ สมุทรปราการ ,ไต้หวัน และ จีน โดยโรงงานที่ไทยจะป้อนทั้งตลาดในประเทศ 70% และส่งออก ไปยัง ตลาดต่างประเทศ อาทิ ดูไบ ,สหรัฐอาหรับ เอมิเรต 30 % ส่วนโรงงานที่ไต้หวันจะเป็นการร่วมทุน

อย่างไรก็ตามคาดว่าตัวเลขการส่งออกในปีนี้จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการเจาะตลาดในกลุ่ม CLMV เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้สัดส่วนต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 45% และในประเทศ 55%

"เราจะรุกเข้าไปยังกลุ่มCLMV เพิ่มขึ้น จากเดิมที่ทำตลาดลาว ,กัมพูชา ,เมียนมา และภายในปีหน้าคาดว่าจะเข้าไปยังประเทศเวียดนาม ส่วนการผลิตเพื่อป้อนให้กับโออีเอ็ม หรือผู้ผลิตรถยนต์นั้น สัดส่วนยังเป็น 60% และ 40 % ป้อนตลาดทดแทนหรืออาร์อีเอ็ม "

ด้านเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย ปัจจุบันมีจำนวน 77 แห่งกระจายทั่วประเทศ และมีแผนงานที่จะขยายต่อเนื่อง นอกจากนั้นแล้วยังมีการตั้ง เค.ซี.ช็อป ตามหัวเมืองต่างๆโดยบริษัทฯจะช่วยสนับสนุน อาทิ การตกแต่งร้านค้า ,เครื่องมืออุปกรณ์ และการโฆษณาประชาสัมพันธ์

นายพิชาญ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2559 ไว้ที่ 1.1 – 1.2 พันล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตจะมาจากการส่งออก ที่บริษัทฯวางแผนเจาะตลาดในกลุ่ม CLMV ที่มีการขยายตัวสูง ขณะที่ตลาดในประเทศ แม้การเมืองจะยังไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่ายังมีโอกาสทางการตลาด เพราะความหลากหลายของตัวสินค้า ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกสินค้าที่ดีที่สุดเหมาะสมที่สุดให้กับตัวเอง

"ในปี 2558 ตลาดรวมยางรถยนต์มีการชะลอตัว ซึ่งเราก็หดตัวลง 10% เมื่อเทียบกับปี 2557 ซึ่งถือว่าลดลงน้อยกว่าตลาดรวม อย่างไรก็ดีในช่วงเวลาดังกล่าวบริษัทฯได้มีการปรับเปลี่ยนแผนงานด้วยการเน้นสร้างแบรนด์มากขึ้น สร้างการรับรู้เพิ่มทั้งกับลูกค้า และ ดีลเลอร์ทั่วประเทศ รวมไปถึงพัฒนาภายในองค์กร มีการนำมาตรฐาน ISO มาใช้ มีการยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารองค์กร และมีการสร้างสรรค์พัฒนานวัตกรรมสินค้าใหม่ๆที่มีคุณภาพออกมาสู่ตลาด"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,168 วันที่ 23 - 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559