คุมดอกเบี้ย ผิดนัด กระทบ ยี่ปั๊วซาปั๊ว

14 มี.ค. 2564 | 22:00 น.

กูรูชี้ร่างแก้ไขกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คุมเกมธุรกิจ ดึงดอกเบี้ยไม่เป็นธรรม กระทบสัญญาซื้อขายซัพพลายเออร์ที่ไม่ระบุในสัญญา มากกว่ากระทบดอกเบี้ยค้างรับแบงก์ เหตุทุกสัญญาตกลงอัตราไว้ก่อนแล้ว รับอานิสงส์จ่ายดอกเบี้ยต่ำ

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ออกมาระบุว่า การเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยลดอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดสัญญาเงินกู้ และ กรณีผิดนัดชำระหนี้จากเดิม 7.5% เหลือ 5% ซึ่งคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบไปเมื่อวันที่ 9 มีนาคม จะลดภาระของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทำให้ประชาชนมีโอกาสชำระหนี้ได้มากขึ้นและมีโอกาสผิดนัดน้อยลง เป็นการปรับข้อกฎหมายให้ทันสมัยสอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลง และเกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายมากขึ้น

นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร TMB Analytics ธนาคาร ทหารไทย หรือ TMB เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ร่างแก้ไขบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับใหม่ เป็นการแก้ไขครั้งแรกในรอบ 95ปี โดยหากย้อนกลับไปสมัยก่อน การคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 7.5% ต่อปีสอดคล้องกับดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่อัตรา 10%ต่อปี แต่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ระดับ 0.50%ต่อปี การปรับอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 7.5% เหลือ 5% นั้น เป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตามร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติ 3 เรื่องคือ1.การซื้อขาย ถ้าไม่มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในสัญญาไว้เดิม เคยใช้ที่อัตรา 7.5% แต่ฉบับใหม่ จะคิดดอกเบี้ยได้ในอัตรา 3% เรื่องที่ 2. ต่อเนื่องจากข้อแรกคือ ถ้าเกิดการผิดนัดชำระหนี้ขึ้น กฎหมายใหม่จะให้บวกดอกเบี้ยได้เพียง 2% แต่ไม่เกินเพดาน 5% และ 3.ลำดับการตัดชำระหนี้ เพิ่มโอกาสให้ตัดเงินต้นได้มากขึ้น ซึ่งทั้ง 3ประเด็นจะส่งผลกระทบต่อสัญญาการซื้อขายระหว่าง supplier หรือ คู่ค้าจำนวนมากที่ไม่ได้ผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ โดยหมายรวมถึงบริษัทหรือธุรกิจการซื้อขายค้าปลีกค้าส่ง

เกณฑ์การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ของธปท.

“ร่างแกไ้ขพ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้ จะลงไปในระดับของนิติกรรม ตั้งแต่มีการทำสัญญาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นต่อระบบเศรษฐกิจ แต่ไมเป็นประเด็นต่อระบบสถาบันการเงิน โดยผลกระทบจะตกอยู่กับคู่ค้าที่ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในสัญญา หรือถ้าเกิดการผิดนัดชำระหนี้ ฉะนั้นจะกระทบผู้ซื้อผู้ขาย supplier ยี่ปั๊วซาปั๊ว จำนวนมากที่ไม่ใช่ระบบธนาคารพาณิชย์”

ส่วนผลกระทบต่อดอกเบี้ยค้างรับของธนาคารพาณิชย์นั้น นายนริศระบุว่า น่าจะกระทบกับส่วนของภาคธุรกิจหรือบริษัท โดยส่วนตัวมองว่า ไม่น่าจะกระทบงบดุลของธนาคารพาณิชย์ เพราะอัตราดอกเบี้ยค้างรับของธนาคารพาณิชย์จะรับรู้อยู่แล้วตามสัญญาที่ได้ตกลงไว้ชัดเจนก่อนแล้วยกตัวอย่าง ถ้ามีการซื้อขายกันระหว่าง supplier ยี่ปั๊วซาปั๊ว หรือ ซื้อขายที่ดิน,โรงงานหรือตีโอนทรัพย์หรือขายฝาก หากไม่ได้ตกลงอัตราดอกเบี้ยไว้ในสัญญา จะคิดอัตราดอกเบี้ยแค่ 3% ถ้าเกินจากอัตรานี้ถือว่าโมฆะ และหากผิดนัดชำระก็จะคิดดอกเบี้ยได้แค่ 5%

แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า หากร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับใหม่ผ่านกระบวนการพิจารณาและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2564นั้น ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ ถ้ามีการปล่อยกู้ในสัญญาที่จะเกิดขึ้นใหม่ โดยไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ย หากลูกหนี้มีการผิดนัดชำระหนี้ ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดที่ลดลง ไม่ใช่จากอัตราดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี 

นอกจากนั้น จะมีประกาศของธปท.สำหรับสถาบันการเงิน ถ้าสัญญาปล่อยกู้เดิม กำหนดอัตราดอกเบี้ย 15%ต่อปี ต่อไปถ้าลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ จะบวกดอกเบี้ยผิดนัดชำระได้ไม่เกิน 3% เช่น สัญญาเดิมกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ 6% ต่อปี หากลูกหนี้ผิดนัดชำระ จะบวกดอกเบี้ยได้ 3% รวมเป็น 9% ต่อปี และให้คิดอัตราดอกเบี้ยที่ 9% เฉพาะเงินต้นที่ลูกหนี้ผิดนัดงวดนั้น ส่วนที่เหลืองวดอื่นๆ ที่ไม่ผิดนัดให้ธนาคารคิดดอกเบี้ยตามสัญญาปกติ 

ส่วนในแง่ของดอกเบี้ยค้างรับ สำหรับธนาคารพาณิชย์จะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะร่างกฎหมายดังกล่าว ระบุว่า ถ้าไม่กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในสัญญา ให้คิดดอกเบี้ยได้ 7.5% กรณีมีการฟ้องคดีกลับจะเป็นประโยชน์กับธนาคารพาณิชย์ที่ต่อไปจะเสียดอกเบี้ยแค่ 3% สัญญาที่ไม่ได้คิดดอกเบี้ยไว้ให้คิดได้แค่ 5% แต่ทุกสัญญาของธนาคารพาณิชย์ จะคิดอัตราดอกเบี้ยตามประเภทต่างๆไว้ เช่น MOR, MRR, MOR 

ถ้าสัญญาทั่วไป บุคคลธรรมดาไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้จะให้คิดได้แค่ 5% เช่น ธนาคารพาณิชย์คิดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต หรือ สินเชื่อส่วนบุคคลในอัตราดอกเบี้ย 12% ถ้าเกิดลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระได้ไม่เกิน 15% ต่อปี (สัญญาคิดดอกเบี้ยที่ 12% ต่อปีบวกดอกเบี้ยผิดนัด 3% ต่อปี) และทุกปี กระทรวงการคลังจะมีการทบทวนอัตราดอกเบี้ยให้ ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อน ที่เมื่อกฎหมายกำหนดอัตราดอกเบี้ย ก็จะมีการใช้เป็นแนวปฏิบัติมาโดยไม่ได้มีการแก้ไขแต่อย่างใด 

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,661 วันที่ 14 - 17 มีนาคม พ.ศ. 2564