ลดเพดานดอกเบี้ย-ขยายวงเงิน แก้ปัญหาหนี้รายย่อย มีผลแล้ววันนี้

01 ส.ค. 2563 | 04:00 น.

มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยในเฟสที่ 2 ของ ธปท. มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ววันที่ 1สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2564

วันนี้ (1 สิงหาคม) มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ในเฟสที่ 2 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)   มีผลบังคับใช้แล้ววันนี้เป็นวันแรก โดยสาระสำคัญของมาตรการนี้คือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นการทั่วไป ดังนี้

  • ลดดอกเบี้ยบัตรเครดิตลง 2% จาก 18% เหลือ 16% ต่อปี
  • ลดดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลลงที่มีวงเงินหมุนเวียน จาก 28% เหลือ 25%
  • ลดดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลที่ผ่อนชำระเป็นงวด ลดดอกเบี้ยจาก 28% เหลือ 25%
  • ลดอกเบี้ยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ลดดอกเบี้ยลงจาก 28% เหลือ 24%

ลูกหนี้ที่ชำระหนี้ดีต่อเนื่อง และมีความจำเป็นต้องใช้วงเงินเพิ่มเติมสถาบันการเงินจะพิจารณาขยายวงเงินให้แก่ เป็น 2 เท่า จากเดิม 1.5 เท่าของรายได้ สำหรับลูกหนี้ที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 30,000 บาท/เดือน เป็นการชั่วคราว

ลูกหนี้กลุ่มที่ยังผ่อนชำระปกติ ผู้ให้บริการทางการเงินอาจพิจารณาให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามสมควร เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม หรือการให้ cashback เมื่อมีการผ่อนชำระเข้ามา เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้มีจ่ายชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเด็นสำคัญที่ต้องการเน้น คือ มาตรการช่วยเหลือระยะที่ 2 จะต่างจากมาตรการช่วงแรกซึ่งผู้ให้บริการจะเป็นผู้พิจารณา แต่มาตรการช่วยเหลือครั้งนี้ ลูกหนี้จะเป็นผู้เลือกเข้าร่วมมาตรการตามความสามารถในการชำระหนี้ของตนเอง โดยผู้ให้บริการทางการเงินจะยื่นข้อเสนอตามที่กำหนดไว้ในมาตรการพื้นฐานขั้นต่ำ และ ต้องอำนวยความสะดวกและให้ข้อมูลที่ครบถ้วน เพียงพอให้ลูกหนี้ใช้ประกอบการตัดสินใจ เช่น เปรียบเทียบภาระหนี้สินเดิมและหนี้ใหม่ จำนวนหนี้ที่เพิ่มขึ้น จำนวนงวดที่เพิ่มขึ้น และดอกเบี้ยที่ลูกหนี้ต้องจ่ายเพิ่มจากการขอพักชำระหนี้

การเก็บเงินต้นและดอกเบี้ยที่คำนวณในช่วงมาตรการข้างต้น ทั้งกรณีพักชำระหนี้ และกรณีลดค่างวด ผู้ให้บริการทางการเงินจะตกลงร่วมกับลูกหนี้เพื่อหาวิธีการชำระหนี้ที่ไม่ก่อภาระมากเกินไป และต้องไม่ถือว่าการพักชำระเงินต้นและ/หรือดอกเบี้ยตามมาตรการนี้เป็นเหตุแห่งการผิดเงื่อนไขการชำระหนี้ตามสัญญา จึงไม่สามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยผิดนัด เบี้ยปรับ หรือค่าใช้จ่ายอื่นใดเพิ่มเติมจากลูกหนี้ รวมถึง หากลูกหนี้ต้องการชำระหนี้ตามสัญญาภายใต้มาตรการที่ช่วยเหลือก่อนกำหนด จะต้องไม่เรียกเก็บเบี้ยปรับการชำระหนี้ก่อนกำหนด (prepayment fee)

ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-31 ธ.ค.63 ผ่านช่องทางที่ผู้ให้บริการทางการเงินเปิดให้บริการ เช่น แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ Call Center หรือการส่งข้อความ SMS

กรณีลูกหนี้ที่ไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ตามมาตรการขั้นต่ำ รวมทั้งกลุ่มลูกหนี้ที่มีสถานะเป็น NPL ว่า ผู้ให้บริการทางการเงินต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ เพื่อช่วยบรรเทาภาระและช่วยให้ลูกหนี้ฟื้นตัวกลับมาได้โดยเร็ว ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สามารถทำได้หลายวิธี อาทิ การเลื่อนกำหนดชำระหนี้หรือพักชำระเงินต้นและ/หรือดอกเบี้ย การปรับลดอัตราดอกเบี้ย การขยายระยะเวลาชำระหนี้ การเปลี่ยนประเภทหนี้จากสินเชื่อระยะสั้นเป็นสินเชื่อระยะยาว การปรับลดค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ยค้างชำระ รวมทั้งการปรับลำดับการตัดชำระหนี้ ให้สามารถตัดเงินต้นก่อนดอกเบี้ยได้ตามความเหมาะสม หรือ ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้อื่น เป็นต้น

สำหรับกลุ่มลูกหนี้ NPL ของหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ผู้ให้บริการทางการเงินต้องเสนอแผนการปรับโครงสร้างหนี้ในลักษณะเดียวกับคลินิกแก้หนี้ให้ลูกหนี้เลือก กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ในช่วงตั้งแต่ 1 ก.ค. -31 ธ.ค. 63 ผู้ที่มีหนี้เสียของบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด รวมทั้งสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน สามารถปรับโครงสร้างหนี้กับผู้ให้บริการทางเงินแต่ละรายได้เลย โดยจะได้รับข้อเสนอเช่นเดียวกับข้อเสนอของคลินิกแก้หนี้ที่จะให้ระยะเวลาผ่อนชำระนานถึง 10 ปี และดอกเบี้ยในอัตราผ่อนปรน

นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือผู้ให้บริการทางการเงินให้ชะลอการยึดทรัพย์ (ที่อยู่อาศัย หรือยานพาหนะที่ลูกหนี้ใช้สร้างรายได้) ออกไประยะหนึ่ง สำหรับลูกหนี้ที่สุจริต แต่อาจจะมีปัญหาการจ่ายหนี้โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด เพื่อให้ลูกหนี้ยังคงมีที่อยู่อาศัย มีรถใช้ทำมาหากิน และมีโอกาสที่จะเจรจาไกล่เกลี่ยปรับโครงสร้างหนี้ร่วมกันซึ่งจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย

สถาบันการเงินจะพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้กลุ่มนี้ โดยคำนึงถึงรายได้ของลูกหนี้กลุ่มนี้ในช่วง post covid โดยจะมีมาตรการที่ชัดเจนมากขึ้น ถึงการต้องรายงานให้ ธปท.ทราบถึงความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้กลุ่มนี้เป็นระยะด้วย

การที่เจ้าหนี้ลูกหนี้สามารถตกลงปรับโครงสร้างหนี้ร่วมกัน จะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก ดังนั้น ได้มีการสั่งการให้ผู้ให้บริการทางการเงิน รายงานข้อมูลจำนวนลูกหนี้ที่มาขอปรับโครงสร้างหนี้ และจำนวนที่ปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จ ส่วนรายที่ไม่สำเร็จขอให้ระบุเหตุผล สำหรับลูกหนี้ที่ไม่สามารถปรับโครงสร้างหนี้กับผู้ให้บริการฯได้สำเร็จ สามารถส่งคำขอผ่านมาที่ช่องทาง "ทางด่วนแก้หนี้" ใน www.1213.or.th ของศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท.