“โควิดกลายพันธุ์” ห้องปฏิบัติการในไทยพร้อมเฝ้าระวัง

07 มิ.ย. 2564 | 07:05 น.

ห้องปฏิบัติการในประเทศไทยพร้อมร่วมมือกันเฝ้าระวังโควิดกลายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์แอลฟ่า (อังกฤษ) สายพันธุ์เบต้า (แอฟริกาใต้) และสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) ที่ระบาดระลอกเดือนเม.ย - พ.ค. 64


วันที่ 7 มิ.ย.64 นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์  อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ในฐานะองค์กรหลักของประเทศในการเฝ้าระวังสายพันธุ์เชื้อโรค ได้สร้างเครือข่ายห้องปฏิบัติการเพื่อดำเนินงานเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ ที่มีห้องปฏิบัติการของกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อให้ประเทศไทยมีข้อมูลเฝ้าระวังสายพันธุ์ ได้ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) และสายพันธุ์เบต้า (แอฟริกาใต้) ที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน และตรวจพบในประเทศไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2564  

“โควิดกลายพันธุ์” ห้องปฏิบัติการในไทยพร้อมเฝ้าระวัง

โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้มีการตรวจเฝ้าระวังเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 กลายพันธุ์ 3 วิธี ดังนี้ 

1. การตรวจเฉพาะตำแหน่งกลายพันธุ์ ที่มีความจำเพาะต่อสายพันธุ์ที่น่ากังวลด้วยเทคนิค Real-time PCR สามารถทำได้ในระดับเขตภูมิภาค 

2.Target sequencing ตรวจการกลายพันธุ์ในตำแหน่งต่าง ๆ ทั้งที่ทราบข้อมูลการกลายพันธุ์อยู่แล้ว หรือค้นหาตำแหน่งการกลายพันธุ์ใหม่บนยีนสำคัญ เช่น ยีนหนามแหลม (spike)  

3.Whole genome sequencing ตรวจข้อมูลทั้งจีโนมของเชื้อไวรัส เป็นวิธีหลักในการเฝ้าระวังสายพันธุ์เป็นไปอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของเชื้อไวรัสSAR-CoV-2 เริ่มต้นที่ 9000 ตัวอย่างเพื่อให้มีข้อมูลพอเพียงต่อการควบคุมโรค และการบริหารวัคซีนโควิด 19 โดยจะดำเนินการต่อเนื่องไปอย่างน้อย 6 เดือน 

นพ.ศุภกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า รายงานการพบเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 สายพันธุ์ที่น่ากังวลในประเทศไทยจากการระบาดระลอกเดือนเมษายน ถึง พฤษภาคม 2564 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เฝ้าระวังสายพันธุ์ที่น่ากังวล 3 สายพันธุ์ ประกอบด้วยสายพันธุ์แอลฟ่า (อังกฤษ) จำนวน 3,595 ตัวอย่าง สายพันธุ์เบต้า (แอฟริกาใต้) จำนวน 26 ตัวอย่าง และสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย)จำนวน 235 ตัวอย่าง พบว่า

1.สายพันธุ์แอลฟ่า เป็นต้นเหตุของการระบาดในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๖๔ พบเกือบ  ทุกจังหวัด และเข้ามาแทนสายพันธุ์ที่เคยระบาดอยู่ในประเทศไทย

2.สายพันธุ์เดลต้า พบรายงานครั้งแรกในเขตกรุงเทพมหานคร และมีการระบาดออกไปในภาคเหนือและภาคอีสานตามกลุ่มแรงงานที่เดินทางกลับบ้านจากกรุงเทพมหานครในช่วงระบาด  

3.สายพันธุ์เบต้า พบรายงานครั้งแรกในจังหวัดชายแดนภาตใต้ เนื่องจากสายพันธุ์นี้ระบาดในรัฐกลันตันของประเทศมาเลเซีย พบได้จากกลุ่มบุคคลที่เดินทางข้ามพรมแดนไทยและมาเลเซีย ซึ่งต้องเฝ้าระวังใกล้ชิดสำหรับผู้ป่วยในจังหวัด ปัตตานี สงขลา และนราธิวาส 
 

ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ศูนย์จีโนมทางการแพทย์

“โควิดกลายพันธุ์” ห้องปฏิบัติการในไทยพร้อมเฝ้าระวัง

มีการตรวจสอบรหัสพันธุกรรมไวรัสก่อโรคโควิด19 ใน 3 รูปแบบ คือ

1.ตรวจสอบรหัสพันธุกรรม 40 ตำแหน่งอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน เพื่อแยกแยะไวรัสสายพันธุ์ที่เป็นปัญหาในประเทศ ด้วยเทคโนโลยี “MassArray” สามารถตรวจตัวอย่างส่งตรวจได้ 1,000 ตัวอย่างต่อสัปดาห์ 

2.ถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 ทั้งจีโนมด้วยเทคโนโลยีการถอดรหัส “สายยาว” Long-Read Sequencing ด้วย Oxford-Nanopore Technologies (ONT) sequencing เวลาดำเนินการ 2 วัน เหมาะสำหรับการตรวจไวรัสลูกผสม (hybrid of COVID-19 variants) หรือการติดเชื้อสองสายพันธุ์ในคนเดียวกันในเวลาเดียวกัน (co-infection)

3.ถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 ทั้งจีโนมด้วยเทคโนโลยีการถอดรหัส “สายสั้น” Short-Read Sequencing ด้วย Next-generation DNA sequencing (NGS) เวลาดำเนินการ 4-5 วัน เพื่อติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19  (COVID-19 variants)
จากการวิเคราะห์ Phylogenetic analysis หรือการสืบสายพันธุกรรม

พบว่าประเทศไทยตรวจพบสายพันธุ์เชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ได้หลากหลาย และเมื่อวิเคราะห์สายพันธุ์เปรียบเทียบกับที่พบระบาดทั่วโลก พบว่าเชื้อกลายพันธุ์ส่วนใหญ่เป็นเชื้อที่นำเข้ามาจากประเทศอื่น ในปัจจุบันประเทศไทยไม่พบการกลายพันธุ์ที่พบได้เฉพาะในประเทศ ซึ่งการระบาดครั้งนี้มีการติดเชื้อใหม่เป็นจำนวนมากต้องเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ในประเทศอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์ใหม่ (new variant) ไวรัสลูกผสม (hybrid of COVID-19 variants) และการติดเชื้อต่างสายพันธุ์ในคนเดียวกัน (co-infection) ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
 

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเพิ่มเติมถึงเรื่องผลกระทบจากการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 ว่า จากข้อมูลที่มีรายงานทั่วโลก การกลายพันธุ์เป็นวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ไวรัสโควิด-19 ก็มีการกลายพันธุ์เพื่อความอยู่รอดของไวรัส ไวรัสที่กลายพันธุ์และแพร่กระจายได้ง่ายก็จะแพร่ขยาย และกลบสายพันธุ์เดิมที่มีการแพร่กระจายได้น้อยกว่า

“โควิดกลายพันธุ์” ห้องปฏิบัติการในไทยพร้อมเฝ้าระวัง

แต่เดิม สายพันธุ์อู่ฮั่น เรียกง่าย ๆ เป็นสายพันธุ์ S และ L สายพันธุ์ L แพร่ได้มากกว่า จึงกระจายมากในยุโรปและการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ G และ V ต่อมาสายพันธุ์ G  แพร่ได้ง่ายจึงกระจายทั่วโลกและแทนที่ สายพันธุ์อู่ฮั่น หลังจากนั้นสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) แพร่กระจายได้ง่ายจึงกลบสายพันธุ์ G เดิม ตอนนี้มีสายพันธุ์เดลตา(อินเดีย) ที่แพร่กระจายง่ายกว่าสายพันธุ์อัลฟาเข้ามา

ทำให้เกรงกันว่าสายพันธุ์เดลตาจะทำให้ระบาดเพิ่มขึ้น และมาแทนสายพันธุ์อัลฟาในอนาคต ส่วนสายพันธุ์ที่น่ากังวล (VOC) เป็นสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่หลบหลีกภูมิต้านทานได้ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง จึงต้องมีการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ สายพันธุ์ดังกล่าวคือ เบตา และ แกมมา ทั้งสองสายพันธุ์แพร่กระจายได้น้อยกว่าสายพันธุ์แอลฟ่า และเดลตา

การศึกษาของศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก จุฬาฯ ในคนไทยที่กลับจากต่างประเทศตรวจพบเชื้อSAR-CoV-2 ได้เกือบทุกสายพันธุ์ ทำให้สามารถพัฒนาวิธีตรวจเฝ้าระวังการกลายพันนธุ์ที่แม่นยำและทำได้รวดเร็ว ในขณะนี้ยังติดตามเฝ้าระวังสายพันธุ์ใน State Quarantine และ Alternative state quarantine อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยที่เข้ามาทางสนามบิน จะมีโอกาสน้อยมากที่จะแพร่กระจายโรค ที่ผ่านมาการระบาดเกิดจากการลักลอบผ่านชายแดนเข้ามา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง