เตือนฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มอย่าย่ามใจ "หมอธีระวัฒน์"ชี้ติดสายพันธุ์เพี๊ยนได้ ระบุต้องฉีดให้ได้ 70-90% ใน 2 เดือน

21 พ.ค. 2564 | 02:10 น.

"หมอธีระวัฒน์" เตือนฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มอย่ามั่นใจ ชี้ยังติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เพี๊ยนได้ ระบุต้องฉีดให้ได้ 70-90% ใน 2 เดือน

รายงานข่าวระบุว่า ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha) โดยมีข้อความว่า 
    ทำไมต้อง ฉีดให้ได้ 70-90% ใน 2 เดือน?
    ฟังดูเหลือเชื่อ แต่ต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ ต้องสงบการระบาดขณะนี้ให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
    แต่อย่างไรก็ตามสายใหม่ต่างๆเหล่านี้ ต้องเล็ดลอดเข้ามาไม่ช้าก็เร็ว และแพร่ระหว่างคนไทยสู่คนไทย แต่ทั้งหมดที่ต้องทำขณะนี้ เพื่อเป็นการซื้อเวลา เพื่อรอวัคซีนพัฒนารุ่นที่สองต่อไปได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับวัคซีน มาระยะหนึ่งแล้วว่า 
    ขณะนี้ที่เราวิกฤติมากอยู่แล้ว ว่าเราต้องฉีดให้ได้ 70-90% ภายใน 2 เดือนนี้ ทั้งนี้ เพื่อสงบสายพันธุ์ บ้านๆ แบบธรรมดา หรือทำให้นิ่งที่สุด ที่วัคซีนปัจจุบันยังพอเอาอยู่ รวมทั้ง สายอังกฤษ เพื่อหน่วงไม่ให้มีคนไข้อาการหนัก สีแดง แดงเข้ม มากจนล้น รพ รัฐและเอกชน รับมือใน ไอซียู และห้องความดันลบไม่ไหว และเตียงไม่มี
    ทั้งต้องมีวินัยสูงสุด และรักษาระยะห่าง และต้องเตรียม ในไตรมาส 3 และ 4 ฉีดใหม่ อีกรอบ เพื่อรับมือกับสายเพี้ยน ดื้อวัคซีนรุ่นแรก 
    แต่ “ถ้าไม่มีวัคซีนนั้นทัน” แน่นอน เรายังคงต้องเข้มข้นสูงสุด และคนติดเชื้อเดิม และคนฉีดวัคซีนแล้ว ติดตัวใหม่ได้ค่อนข้างแน่ (หวังว่าอาการไม่รุนแรงขึ้น)

อย่างไรก็ดี  หมอธีระวัฒน์ ยังได้โพสภาพพร้อมข้อความที่ระบุว่า "คนไทยได้วัคซีนครบ 2 เข็ม แล้วก็ตามอย่ามั่นใจสายพันธุ์เพี๊ยน อินเดีย แอฟริกา ไฟเซอร์ โมเดอนา ครบ 2 เข็มในสิงคโปร์ยังติดเชื้อได้

ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มอย่าประมาท
......................,,,,,,,,,,,,,...............
    สายพันธุ์ที่ต้องจับตาสูง จนถึงกลายเป็นสายก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรง?
    เผยแพร่ครั้งแรก 12/5/64
    โควิด-19 (Covid-19) ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาจนกลายเป็นที่เรียกว่าสายพันธุ์ ที่ต้องจับตามองด้วยความกังวลสูง ( variant of high global concern ) ไปจนถึงที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื่อง (high consequence)ล้วนแล้วแต่เกิดจากการระบาดที่รุนแรงแรงกว้างขวางจนเกิดการวิวัฒน์ ให้มีความเก่งกาจขึ้น (gain of function) ตั้งแต่ สายอังกฤษ แอฟริกาใต้ บราซิล ฟิลิปปินส์และจนอินเดีย ที่ถูกจัดจากองค์การอมามัยโลก (WHO) ให้ทั่วโลกจับตา และในอีกไม่ช้าไม่นาน ถ้าสถานการณ์คุมไม่ได้ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งก็จะเกิดมีสายใหม่เกิดขึ้นอีก
    ในส่วนของสายอินเดีย ที่มีการตรวจพบมานานพอสมควรในประเทศไทย หลายรายด้วยกันแล้ว ในสถานกักตัว ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตุจากหมอและนักวิทยาศาสตร์อินเดียและหลายกลุ่ม ในไวร้สสานนี้มานานพอสมควร ที่ว่าสามารถ
    “จับลึก” นั่นก็คือไถลลงไปจับกับหลอดลมส่วนลึกและถุงลมแทนที่จะเป็นโพรงจมูกและลำคอ
    “จับแน่น” ทำให้มีความสามารถในการติดเชื้อได้เก่งขึ้นและจากนั้นแพร่ได้ง่ายขึ้น
    “หลีกหนี” การมองเห็นการเฝ้าระวังตรวจตราของระบบป้องกันและภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีน
ทั้งนี้ยังหมายควบรวมไปถึงภูมิคุ้มกันที่ได้จากการติดเชื้อครั้งแรกจากโควิดธรรมดา และเมื่อติดเชื้อสายใหม่นี้ สามารถมองเห็นจับได้ แต่ไม่ยับยั้งไวรัสและกลับจับไวรัสไปส่งให้ เซลล์ที่มีหน้าที่ป้องกันไวรัส โดยมีหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ แต่กลับปล่อยสารอักเสบขึ้นมาแทนเลยเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อและต่อทุกระบบในร่างกาย 
    ถือเป็น “บาป” ที่ภูมิคุ้มกันไม่รู้จักปรับตัวพัฒนาขึ้นมาสู้กับของใหม่ (original antigenic sin: ที่ทราบกันมาตั้งแต่ปี 1960) และในลำดับต่อไป ถ้าไวรัสมีการปรับเปลี่ยนส่วนท่อนต่างๆที่ปกติออกแบบมาอยู่แล้วเพื่อก่อโรคให้มีความรุนแรง และกลับรุนแรงขึ้นไปอีก จนมีปัญหาในการรักษาและรวมไปกระทั่งถึงดื้อยาที่ใช้ได้ผลอยู่ในปัจจุบัน จะกลายเป็น สายที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างสูง
    ทั้งหมดนี้สามารถชนะได้ด้วยวัคซีนพร้อมกับมีวินัยทั้งทางบุคคลและทางสังคมอย่างเข้มข้น พยายามสงบการระบาดให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อย่างไรก็ตามสายใหม่เหล่านี้ ต้องเล็ดลอดเข้ามาไม่ช้าก็เร็ว และแพร่ระหว่างคนไทยสู่คนไทย แต่ทั้งหมดเพื่อเป็นการซื้อเวลา เพื่อรอวัคซีนพัฒนารุ่นที่สองต่อไป 
    ส่อลามไม่หยุด!WHOยันพบโควิดตัวกลายพันธุ์อินเดียแล้ว 44 ชาติทั่วโลก 
    คลิก >> https://mgronline.com/around/detail/9640000045444

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :