“ดร.กนก”แนะรัฐแก้ปัญหาโควิดรอบ 3 หยุดให้ราชการจูงจมูก

13 เม.ย. 2564 | 10:23 น.

“ดร.กนก”ห่วงโควิดรอบ 3 รุนแรงกว่าเดิม แต่รัฐยังบริหารแบบเดิม ไม่ตอบโจทย์แก้ปัญหา แนะคิดนอกกรอบ หยุดให้ราชการจูงจมูก ทบทวนเงินกู้ 4 แสนล้านกระตุ้นศก.ฐานราก ให้เกิดการสร้างรายได้

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเป็นห่วงกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบ 3 ที่รุนแรงกว่าเดิม โดยเสนอให้รัฐบาลจัดทำยุทธศาสตร์ แก้ปัญหาทั้งระบบอย่างชัดเจน ด้วยการถอดบทเรียนจากปัญหาที่เกิดขึ้น ในการแพร่ระบาดครั้งที่ผ่านๆมา นำมาคิดวิเคราะห์จัดการปัญหาอย่างตรงไปตรงมา เริ่มจาก การปรับแนวทางแก้ปัญหา จะใช้เฉพาะวิธีช่วยเหลือเยียวยาแบบเดิมไม่ได้ เพราะมคข้อจำกัดเรื่งกำลังเงินของประเทศที่คงไม่ไหว ดังนั้นการคิดขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศตต้องมีเป้าหมายและวิธีการที่ถูกต้อง แม่นยำ 

ที่สำคัญคือต้องเร่งทบทวนเงินกู้ 400,000 ล้านบาท ตามพรก.เงินกู้ 1 ล้านล้าน เพราะที่ผ่านมาการเบิกจ่ายไร้ความคืบหน้าและดูเหมือนว่า จะไม่ได้ผล ไม่ช่วยให้ประชาชน และ SME เกิดการฟื้นตัวตามที่วางเป้าหมายไว้ เพราะเน้นแต่การสร้างถนน ซ่อมแซมอาคารและฝึกอบรม ไปจนถึงการเจาะน้ำบาดาล เป็นการใช้งบประมาณครั้งเดียวแล้วเลิก ไม่ได้แก้ปัญหาอย่างตรงจุดและไม่ช่วยเพิ่มศักยภาพของประชาชนในการสร้างรายได้

“สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการคือ การคิดนอกกรอบ อย่าทำตัวเป็นรัฐราชการ ทำตามข้อเสนอของข้าราชการทุกเรื่อง เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายการเมืองก็ได้ แต่ที่ต้องมีนักการเมืองเข้าไปช่วยควบคุมบริหารจัดการประเทศ ก็เพื่อกำหนดทิศทางที่ถูกต้องเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชน ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นเพราะกำหนดจากราชการที่ไม่เคยเข้าถึงหัวใจและปัญหาของประชาชน ทำให้การแก้ไขไร้ประสิทธิภาพ รัฐบาลจึงไม่ควรอยู่กับความคิดแบบเดิม เพราะจะไม่มีวันนำพาประชาชนผ่านวิกฤตนี้ไปได้"ศ.ดร.กนก กล่าว

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า ประชาชนระดับฐานรากโดยเฉพาะเกษตรกร และ SME ขนาดเล็ก ประกอบอาชีพด้วยภูมิปัญญาดั้งเดิม ขาดความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร(และเทคโนโลยีที่จะเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และสร้างรายได้ใหม่ ในขณะที่มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่าง ๆ มีความรู้วิทยาศาสตร(และเทคโนโลยีรวมทั้งบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ แต่ความคิดและทัศนคติของอาจารย์ และนักวิจัยไม่ใส่ใจต่อการลงไปทำงานกับเกษตรกร และ SME ในพื้นที่ เพราะไม่ใช่หน้าที่ความรับผิดชอบของตน

อีกทั้งระบบราชการและกฎระเบียบไม่เอื้อให้มหาวิทยาลัยลงไปทำงานในพื้นที่กับเกษตรกร อุปสรรคที่ขวางกั้นทั้งความคิดและทัศนคติของอาจารย์ นักวิจัยและกฎระเบียบของระบบราชการ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลจะต้องแก้ไข ปลดล็อค ให้ทีมงานจากมหาวิทยาลัยออกไปช่วยเกษตรกร และ SME ได้

นอกจากนี้ยังพบว่า แม้ชนบทมีปัญหาและอุปสรรคต่อการพัฒนาและสร้างรายได้มากมาย ในทางกลับกันชนบทก็มีความได้ปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantages) ที่ในเมืองไมีมีเช่น ชนบทมีธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ มีความหลากหลายทางชีวภาพ มีอากาศที่สะอาด มีภูมิทัศนที่งดงาม มีสายน้ำที่ใสสะอาด มีพืชพันธุ และผลผลิตจากป่าที่มีคุณค่าสูง ที่ไม่สามารถหาได้ในเมืองมากมาย ต้องนำความได้เปรียบเหล่านี้ มาบริหาจัดการ ให้เดิดสินค้าและบริการใหม่

"การจะทำแบบนี้ได้ รัฐบาลต้องเปิดใจ จัดทำโครงการที่พุ่งตรงไปยังพื้นที่เป้าหมายในชนบท กำหนดงบประมาณให้ถูกจุด ไม่เช่นนั้นทุ่มงบประมาณมหาศาล ไปแบบเทกระจาด ก็ไม่สามารถแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจได้ โอกาสของรัฐบาลที่จะแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจจากโควิด-19 ใกล้หมดเวลาแลัว กิจการของบริษัทขนาดใหญ่ สามารถเอาตัวรอดได้ด้วยตัวเอง แต่เศรษฐกิจฐานรากของคนตัวเล็กตัวน้อยกำลังใกล้ตาย ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ไม่รอด ประเทศชาติจะอยู่รอดได้อย่างไร" ศ.ดร.กนก กล่าว