วัคซีนโควิด-19 มรสุม รุมสกรัม“บิ๊กตู่”

24 เม.ย. 2564 | 04:16 น.

วัคซีนโควิด-19 มรสุม รุมสกรัม“บิ๊กตู่” : คอลัมน์ฐานโซไซตี ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3673 หน้า 4 ระหว่างวันที่ 25-28 เม.ย.64 โดย... ว.เชิงดอย

+++ สถานประเทศไทย ณ ตอนนี้ ยัง “ติดหล่ม” อยู่กับการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือ  “โควิด-19” ที่แพร่กระจายระลอก 3 ลามไปทั่วประเทศ ตัวเลขผู้ติดเชื้อ เมื่อวันที่ 21 เม.ย.2564 ที่ผ่านมา ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค.รายงานว่า มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ จำนวน 1,458 ราย ติดเชื้อในประเทศ 1,454 ราย ในจำนวนนี้มาจากผู้ป่วยใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 1,346 ราย และค้นหาเชิงรุกในชุมชน 108 ราย มาจากต่างประเทศ 4 ราย  รวมผู้ติดเชื้อในประเทศ 43,697 ราย ผู้เดินทางจากต่างประเทศ 3,246 ราย สถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 2,617 ราย สำหรับผู้ป่วยยืนยันสะสมล่าสุดอยู่ที่ 46,643 ราย รักษาหายเพิ่ม 413 ราย ผู้ป่วยรักษาหายแล้วรวม 29,371 ราย  ผู้ป่วยรักษาอยู่ 17,162 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย  รวมผู้เสียชีวิตสะสม 110 ราย ส่วนสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-21 เม.ย. 2564 มีผู้ป่วยรายใหม่ 17,780 ราย เสียชีวิตสะสม 16 ราย

+++ ที่น่าสนใจคือ ผู้ป่วยที่เสียชีวิต ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มี “โรคประจำตัว”อยู่แล้ว โดยไทม์ไลน์ของผู้เสียชีวิต 2 เมื่อวันที่ 21 เม.ย.2564 รายล่าสุด มีดังนี้รายที่ 1 (รายที่ 109) เป็นหญิงไทย อายุ 56 ปี ที่อยู่ กทม. มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตวายเรื้อรัง และโรคอ้วน วันที่ 10 เม.ย.64 เริ่มมีอาการไข้ ไอ วันที่ 13 เม.ย.64 ไปตรวจหาเชื้อ วันที่ 14 เม.ย.64 ผลตรวจยืนยันติดเชื้อ วันที่ 17 เม.ย.64 เข้ารับการรักษา มีอาการเหนื่อยหอบ ผล X-ray ปอดอักเสบรุนแรง วันที่ 19 เม.ย.64 มีระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิต ในเวลา 16.19 น. ขณะที่ รายที่ 2 (รายที่ 110) เป็นเพศชาย อายุ 32 ปี ที่อยู่จ.นนทบุรี มีโรคประจำตัว ภูมิแพ้ มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยวันที่ 4 เม.ย.64 วันที่ 8 เม.ย.64 มีอาการไข้ต่ำ ไอ มีเสมหะปนเลือด วันที่ 15 เม.ย.64 เหนื่อยมากขึ้น วันที่ 16 เม.ย.64 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล X-ray ปอดอักเสบรุนแรง ต่อมาอาการแย่ลง วันที่ 19 เม.ย.64 เสียชีวิต ... ก็ต้องขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต มา ณ โอกาสนี้ด้วย

+++ “วัคซีนโควิด-19” ดูจะเป็น “มรสุม” รุมใส่ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯ และรมว.กลาโหมอยู่ขณะนี้ เพราะประชาชนเกิดความรู้สึกว่า ทำไมประเทศไทยจัดซื้อเข้ามาได้น้อย และเมื่อได้มาแล้วทำไมกระบวนการฉีดวัคซีนถึงได้ “ล่าช้า” แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่ “คนไทย” ครึ่งค่อนประเทศ หรือ ส่วนใหญ่ของประเทศจะได้รับการ “ฉีดวัคชีน” เพื่อป้องกันโรคร้ายตัวนี้ จะต้องให้รอไปถึงไหน?

+++ จนเป็นช่องทางให้ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย ออกมาตั้งคำถามว่า คำถามที่ประชาชนต้องการคำตอบจากผู้นำประเทศคือ วัคซีนที่เข้าไทยมา 2 ล้านโดสไปไหน ทำไมถึงไม่เร่งฉีดให้พี่น้องประชาชน ทำไมรัฐบาลจึงกระจายวัคซีนช้ามาก ทั้งที่มีวัคซีนเข้ามาแล้ว 2 ล้านโดส ตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.64 โดยงวดแรก 200,000 โดส (24 ก.พ.64) งวดสอง 800,000 โดส (22 มี.ค.64) งวดสาม 1,000,000 โดส (10 เม.ย 64) ถึงวันนี้ฉีดไปได้แค่ 6 แสนกว่าโดส ไม่ถึง 0.1 % ของประชากรไทย ครอง แชมป์รองบ๊วยของอาเซียน โดยมีคนที่ฉีดครบ 2 เข็ม มีเพียงกว่า 94,000 ราย อีก 571,000 ราย เพิ่งฉีดเข็มแรก

+++ “วัคซีนที่เหลืออีก 1.4 ล้านโดส อยู่ที่ไหน ทำไมไม่รีบฉีดให้ประชาชน แล้วจะฉีดให้ประชาชนได้วันละกี่โดส เมื่อไหร่คนไทยจะได้ฉีดวัคซีนครบ จะเปิดประเทศอย่างปลอดภัยได้เมื่อไหร่ นายกรัฐมนตรีช่วยตอบทีได้ไหมว่า จะปรับแผนอย่างไร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนไทย วัคซีนคือความหวัง และประชาชนกำลังรอความหวังจากรัฐบาลอยู่ ดิฉันขอเรียกร้องให้รัฐบาลกำหนดแผนการฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนอย่างน้อย 50 ล้านคนได้รับวัคซีนเพียงพอ ที่จะสร้างให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในระยะเวลาที่รวดเร็วก่อนสิ้นปีนี้” นี่คือคำถามของแกนนำพรรคไทยสร้างไทย

+++ อีกคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความคิดเห็นเรื่อง “วัคซีนโควิด-19” ที่ประเทศไทยได้รับล่าช้ากว่าประเทศอื่น ก็คือ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ที่พูดไว้เมื่อวันที่ 20 เม.ย.2564 ที่ผ่านมา จัดโดย “กลุ่ม CARE คิด เคลื่อนไทย” ในหัวข้อ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 กับ Tony Woodsome ผ่านแอปพลิเคชัน Clubhouse  ทักษิณ ซึ่งใช้ชื่อ Tony Woodsome ตอนหนึ่งระบุว่า บ้านเราต้องเลิกใช้กฎหมายนำ แต่ใช้ความรู้นำดีกว่า เพราะการใช้กฎหมายจะทำให้คนไม่ใส่ใจ ตัวผู้ปฏิบัติเองก็เครียด ประชาชนก็เครียด ดังนั้นจึงต้องเร่งให้ความรู้ผู้คน ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจว่าไวรัสนั้น เหมือนกันทุกตัว แค่ว่าตัวนี้เมื่อมันเข้าไปยังเซลล์ของเราแล้ว จะกินกล้ามเนื้อ ตอนที่ผมเป็นก็น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อหายหมด

+++ ทักษิณ ระบุว่า เรื่องวัคซีนนั้น แม้รัฐจะกล่าวว่าการจัดหาวัคซีนเป็นไปตามแผนทั้งหมด ถามว่า ใครเขียนแผน เมืองที่ตนอยู่นั้นมีวัคซีนทุกยี่ห้อ ทุกรุ่น และให้ฟรี คำถามคือทำไมเราจึงไม่สั่ง ทำไมต้องจำกัดเพียง 2 ยี่ห้อ หากรู้จริงก็คงเข้าใจว่าวัคซีน AstraZeneca นั้น มีผลข้างเคียงเยอะกว่า ที่มีปัญหาน้อยสุดคือวัคซีน Pfizer และ Moderna เรามีวัคซีนเพื่อไปกระตุ้นภูมิของร่างกาย ถ้ามีผลข้างเคียงก็ต้องคำนึงถึงอันตรายว่าเหมาะหรือไม่เหมาะกับคนประเภทใด ส่วนตัวเป็นผู้สูงอายุ จึงต้องกังวลเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งระยะยาว และระยะสั้น ดังนั้นประชาชนควรมีสิทธิ์เลือกวัคซีน รัฐบาลต้องเปิดวัคซีนเสรีให้โรงพยาบาลเอกชนสั่งมาได้เลย ถ้าคิดเสียว่าตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของ 30 บาทรักษาทุกโรคได้ไหม ถ้าเขาป่วยเราก็ต้องรักษา รัฐบาลจะเรียกโครงการนี้อย่างไรก็ช่าง เมื่อรัฐบาลรับกินรับใช้กับการประกันสุขภาพประชาชน ทำไมไม่เอาวัคซีนดีๆ และจำนวนเยอะๆ มาให้ งบประมาณที่กู้มาก็เอามาแจกแล้วไม่ได้ผลทางเศรษฐกิจ บรรเทาไปได้ 2-3 มื้อ ไม่ได้บรรเทาทั้งหมด อยากให้คิดองค์รวมของการแก้ปัญหาด้วย

+++ “ประเด็นของวัคซีนนั้น เราสามารถไปพ่วงกับหลายๆ ประเทศที่เขามีได้ เนื่องจากนักธุรกิจไทยหลายคนมีคอนเน็กชัน และมีความสามารถในการเจรจาอยู่แล้ว เช่น ธนินท์ เจียรวนนท์ (เจ้าของเครือซีพี) ไปคุยกับรัฐบาลจีนได้หรือไม่ เพราะฝั่งนั้นมีกำลังการผลิตเยอะ ที่ตะวันออกกลางก็ใช้ หรือ Pfizer สามารถไปบอก เจริญ สิริวัฒนภักดี (เจ้าอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ –ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์) ได้ไหม ว่าให้สิงคโปร์สั่ง Pfizer มาเผื่อได้หรือไม่ หรือ สารัชถ์ รัตนาวะดี (นักธุรกิจด้านพลังงาน) ก็ไปคุยกับฝั่งตะวันออกกลางได้ ภาคเอกชนเขากว้างขวาง จะให้ผมไปคุยกับท่าน “ปูติน” (ผู้นำรัสเซีย) เพื่อเอาสปุตนิกมาไหม บอกมาเราช่วยกันได้ แต่รัฐบาลเองต้องตื่นตัวมากกว่านี้ และเมื่อได้มาแล้วต้องรีบกระจายการฉีด ไม่ใช่กระจุกที่เดียว โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกับร้านอาหารที่ต้องฉีดก่อน จะได้ให้บริการอย่างปลอดภัยได้” นี่คือคำแนะนำของอดีตนายกฯ ทักษิณ

+++ ส่วนปฏิกิริยาจาก บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อถูกถามถึงกรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ออกมาเสนอตัวประสานจัดหาวัคซีนโควิด-19 กับ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ให้ ว่า "ผมไม่ตอบ อย่าเอาคำถามคนที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยมาถามผม ผมไม่รู้จัก ผมไม่รู้เรื่องเขา” จบข่าว...

+++ ช่วงนี้ยกสายคุยกับใครก็มีแต่เสียงบ่นบอกผ่านสื่อไปถึงรัฐบาล ให้ช่วยออกแรงกระตุ้นถึงประชาชนทุกหมู่เหล่า ขอ “อย่าการ์ดตก” โดยเฉพาะการใช้แอลกอฮอล์ เพราะเป็นตัวดูแลป้องกันโควิด-19 ทำความสะอาดมือฆ่าเชื้อได้ด้วยตัวเอง ขนาดพกพาติดตัวเมื่อออกภายนอกบ้าน หรือเดินทางทำงาน ต้องสัมผัสอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ รอบตัว  ใช้ควบคู่กับหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นตัวป้องกันการติดเชื้อแพร่ระบาดโควิด-19  ฝากย้ำทั้ง “หน้ากากอนามัย” และ “แอลกอฮอล์” จำเป็นต้องใช้ควบคู่กัน อย่าลืมออกจากบ้านต้องพกพาติดตัวไว้ตลอดเพื่อความสะดวกในการใช้งานได้ทันที ...ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน