ธุรกิจกับการแก้ปัญหาโลกร้อน (1)

10 เม.ย. 2564 | 02:30 น.

ธุรกิจกับการแก้ปัญหาโลกร้อน (1) : คอลัมน์เศรษฐทัศน์ โดย... รศ.(พิเศษ) ดร.กฤษฎา เสกตระกูล รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,669 หน้า 5 วันที่ 11 - 14 เมษายน 2564

ขณะที่สังคมมีความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุจากการพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ปัญหาความเสื่อมโทรมด้านสิ่งแวดล้อมก็มีมากยิ่งขึ้นด้วย โดยเฉพาะปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงกระทบต่อระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตบนโลก ซึ่งปัญหาเหล่านี้มาจากการกระทำของมนุษย์และย้อนกลับมาเป็นวัฏจักรที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตของมนุษยชาติเอง

ภาคธุรกิจเป็นตัวการหนึ่งในการก่อปัญหาภาวะโลกร้อนนอกเหนือจากภาคครัวเรือน เนื่องจากกระบวนการทำธุรกิจตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การใช้พลังงาน การแปรรูป การขนส่งสินค้า ล้วนต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ เช่น นํ้า ไฟฟ้า พลังงานเพื่อตอบสนองความต้องการบริโภค ทำให้มีเสียงเรียกร้องจากผู้เกี่ยวข้องดังขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่หน่วยงานระดับโลกอย่างองค์การสหประชาชาติ ภาครัฐ ภาคสังคม และนักลงทุนที่ร้องขอให้ธุรกิจตระหนักและร่วมกันแก้ปัญหาโลกร้อนจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บทความชุดนี้ได้สืบหาองค์ความรู้และนำมาเสนอแนวปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจในการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาก๊าซเรือนกระจก

 

• รู้จักก๊าซเรือนกระจก

จากข้อมูลของ Wikipedia อธิบายว่า ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) หรือเรียกย่อๆ ว่า GHG คือก๊าซในบรรยากาศของโลกที่ดูดซับและปลดปล่อยรังสีอินฟราเรดร้อนออกมา โดยบางส่วนจะออกสู่ห้วยอวกาศ แต่บางส่วนก็จะสะท้อนความร้อนจากชั้นบรรยากาศกลับสู่พื้นผิวโลก เรียกว่า ปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Effect)

ก๊าซเรือนกระจกเกิดตามธรรมชาติและเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ประกอบด้วย ไอนํ้า คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ และคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน ซึ่งมีความสำคัญต่อการรักษาระดับอุณหภูมิโลก หากปราศจากก๊าซเรือนกระจกโลกจะหนาวเย็นจนสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ไม่ได้ แต่ถ้ามีปริมาณก๊าซเรือนกระจกมากเกินไปจะทำให้อุณหภูมิบนโลกสูงจนอาจเป็นอันตรายต่อการดำรงชีวิต ลักษณะเดียวกับชั้นบรรยากาศบนดาวศุกร์ 

 

• ก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์

ข้อมูลจาก Wikipedia ยังเปิดเผยอีกด้วยว่านับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2300 (ค.ศ. 1757) กิจกรรมของมนุษย์ได้เพิ่มปริมาณการสะสมของก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติ เช่น จากการกร่อนสลายของหินบนแผ่นดิน การสังเคราะห์แสงของพืช และแพลงก์ตอนในทะเล ยังถือว่ากักเก็บปริมาณก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ได้อย่างสมดุล จากการคาดการณ์พบว่าชั้นบรรยากาศของโลกสามารถกักเก็บปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์คงที่อยู่ระหว่าง 260-280 ส่วนในล้านส่วน เป็นเวลาต่อเนื่องประมาณ 10,000 ปี ตั้งแต่สิ้นสุดยุคนํ้าแข็งจนถึงการเริ่มยุคอุตสาหกรรม

 

• แหล่งเกิดก๊าซเรือนกระจก

• การเผาผลาญเชื้อเพลิงซาก ดึกดำบรรพ์ และการทำลายป่า ที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สู่บรรยากาศมากขึ้น การทำลายป่า (โดยเฉพาะในเขตร้อน) มีส่วนปลดปล่อย CO2 มากถึง 1 ใน 3 ของ CO2 ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ทั้งหมด

• การย่อยสลายในกระเพาะลำไส้ของปศุสัตว์และการจัดการเกี่ยวกับมูลปศุสัตว์ การทำนาข้าว การใช้และการเปลี่ยนแปลง การใช้ที่ดินในพื้นที่ชุ่มนํ้า การสูญเสียก๊าซและนํ้ามันจากท่อส่ง รวมถึงการปล่อยก๊าซจากหลุมฝังกลบขยะ ทำให้เพิ่มปริมาณมีเทนมากขึ้นในบรรยากาศ เป็นต้น

• การใช้สารคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (CFCs) ในตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ รวมทั้งการใช้ก๊าซฮาลอน (Halon) ในระบบถังดับเพลิง และกระบวนการผลิตของผู้ผลิต

• กิจกรรมทางการเกษตร ซึ่งรวมทั้งการใช้ปุ๋ยที่เป็นตัวเพิ่มก๊าซไนตรัสออกไซด์

สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency) หรือ EPA ของสหรัฐอเมริกาได้จัดอันดับผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคการบริโภค (End-user sectors) ตามลำดับดังนี้ คือ ภาคอุตสาหกรรม ภาคการขนส่ง ภาคครัวเรือน ภาคพาณิชยกรรม และภาคเกษตรกรรม โดยแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจกในภาคการบริโภคส่วนมากเกิดจากการทำความร้อนหรือความเย็นภายในกระบวนการดำเนินธุรกิจ เช่น การใช้ไฟฟ้า การใช้เครื่องปรับอากาศ และการใช้นํ้ามันเชื้อเพลิงสำหรับขนส่ง

 

• ภาวะโลกร้อน และผลกระทบ

Wikipedia ระบุคำจำกัดความของ ภาวะโลกร้อน (Global warming) หมายถึง การเพิ่มระดับอุณหภูมิเฉลี่ยของชั้นบรรยากาศใกล้พื้นผิวโลกและผิวนํ้าบนมหาสมุทร ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 คาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความเข้มของปริมาณก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมของมนุษย์

การที่อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจเป็นเหตุให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง เช่น การถดถอยของธารนํ้าแข็ง การละลายของนํ้าแข็งในทะเลแถบอาร์กติกหรือขั้วโลกเหนือ ระดับนํ้าทะเลของโลกสูงขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของปริมาณนํ้าฝนที่อาจทำให้เกิดนํ้าท่วมและภัยแล้ง นอกจากนี้ ยังเป็นสาเหตุความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศแบบสุดโต่ง ส่งผลต่อระบบห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ ความไม่แน่นอนของผลิตผลทางเกษตร การเปลี่ยนแปลงของร่องนํ้า การลดปริมาณลำธารในฤดูร้อน รวมถึงการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบางชนิด และการเพิ่มของพาหะนำโรค

 

ธุรกิจกับการแก้ปัญหาโลกร้อน (1)

 

• คาร์บอนฟุตพริ้นท์ 

ข้อมูลจาก guru.sanook.com สรุปว่า คาร์บอนฟุตพริ้นท์ คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วยตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ เริ่มต้นตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง การประกอบชิ้นส่วน การใช้งาน จนถึงการจัดการซากผลิตภัณฑ์หลังการใช้งาน โดยคำนวณออกมาในรูปแบบของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อหน่วยผลิตภัณฑ์

ข้อมูลจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ อบก. กล่าวถึงการส่งเสริมการใช้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ว่าภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมในฐานะผู้ผลิต ภาคบริการในฐานะผู้ขับเคลื่อนกิจกรรม รวมถึงภาคครัวเรือนในฐานะผู้บริโภคควรร่วมกันผลักดันให้เกิดการผลิตและบริโภคสินค้าและบริการที่ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้บริโภคมีข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ อบก. จึงได้กำหนดมาตรฐานฉลาก และ/หรือ เครื่อง หมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ที่ติดบนผลิตภัณฑ์เพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้บริโภค

นอกจากนี้ ข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วย โดย Pontawan Jansuk สรุปใน pontawan.blogspot.com ว่าข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่แสดงบนฉลากคาร์บอน (Carbon Labeling) จะเป็นข้อมูลที่ช่วยให้ผู้บริโภคทราบว่า ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ได้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าใด อีกทั้งสามารถช่วยวัดผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ถูกแนะนำขึ้นครั้งแรกในสหราชอาณาจักรช่วงเดือนมีนาคม 2550 ภายใต้การกำกับดูแลของ Carbon Trust

• การวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์จะต้องทำการพิจารณาจากกิจกรรม 2 ส่วนหลัก คือ

• การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางตรง (Primary Footprint) เป็นการคำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการผลิต เช่น การใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวน การผลิต และการขนส่งทั้งโดยรถบรรทุก ทางเรือ และทางอากาศ

• การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางอ้อม (Secondary Footprint) เป็นการคำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการใช้ ตลอดจนการจัดการซากสินค้าหลังการใช้งาน

 

• ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์

ข้อมูลจาก pontawan.blogspot.com อธิบายว่า การแสดงข้อมูลปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ มีลักษณะคล้ายกับป้ายบอกจำนวนแคลอรี่และสารอาหาร ในสหรัฐอเมริกาแบ่งรูปแบบของฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

• ฉลาก Low-Carbon Seal เป็นฉลากประเภทที่ไม่มีจำนวนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ติด ดังนั้นผู้บริโภคจะไม่ทราบปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยในภาคการผลิตสินค้า

• ฉลาก Carbon Score เป็นฉลากประเภทที่มีจำนวนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ติดไว้บนตัวผลิตภัณฑ์ ดังนั้นผู้บริโภคจะสามารถเปรียบเทียบข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคการผลิตสินค้า ระหว่างสินค้าแต่ละชนิด หรือชนิดเดียวกัน เพื่อเปิดให้ผู้บริโภคใช้เป็นข้อมูลเพื่อเลือกซื้อสินค้าที่ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

• ฉลาก Carbon Rating มีลักษณะคล้ายกับฉลากประหยัดพลังงาน (ซึ่งนิยมใช้รูปแบบนี้ในสหภาพยุโรป) โดยฉลากคาร์บอนประเภทนี้จะแบ่งกลุ่ม โดยใช้สัญลักษณ์เป็นรูปดาวจาก 1 ถึง 5 ดาว หากสินค้าใดได้ดาวจำนวนมาก หมายถึง สินค้าชนิดนั้นๆ มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าสินค้าที่ได้ดาวน้อยดวง

สำหรับประเทศไทย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกและสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยร่วมกันกำหนดมาตรฐานฉลากคาร์บอน โดยกำหนดเป็น 5 สี 5 เบอร์ ได้แก่

• ฉลากคาร์บอน เบอร์ 1 ฉลากสีแดง แสดงว่าสินค้าที่เกิดจากกระบวนการผลิตที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เท่ากับ 10%

• ฉลากคาร์บอน เบอร์ 2 ฉลากสีส้ม แสดงว่าสินค้าที่เกิดจากกระบวนการผลิตที่ช่วย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เท่ากับ 20%

• ฉลากคาร์บอน เบอร์ 3 ฉลากสีเหลือง แสดงว่าสินค้าที่เกิดจากกระบวนการผลิตที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เท่ากับ 30%

• ฉลากคาร์บอน เบอร์ 4 ฉลากสีนํ้าเงิน แสดงว่าสินค้าที่เกิดจากกระบวนการผลิตที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เท่ากับ 40%

• ฉลากคาร์บอน เบอร์ 5 ฉลากสีเขียว แสดงว่าสินค้าที่เกิดจากกระบวนการผลิตที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เท่ากับ 50%

นับวันพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มสนใจซื้อผลิตภัณฑ์ทีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้นข้อมูลฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จึงเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจซื้อและใช้พิจารณาข้อมูลว่าผู้ผลิตรายนั้นๆ ได้ใส่ใจต่อการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ขององค์กร ช่วยสร้างความโดดเด่นให้แก่แบรนด์สินค้าของตนให้เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย อีกทั้งช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานของภาคการผลิตด้วย