จากการทำวิจัยแบบสหสาขาวิชาร่วมกับคณาจารย์จากหลากหลายสาขาวิชา และหลากหลายมหาวิทยาลัยทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้โครงการศึกษาทิศทางการเปลี่ยนแปลงสู่ระเบียบโลกใหม่ (New World Order) โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์
คณะวิจัยพบว่า ไม่ว่าพรรค Democrat หรือ Republican จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ในระยะสั้น (1-2 ปี) ต่อจากนี้ นโยบายการต่าง ประเทศของสหรัฐอเมริกายังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้เนื่องจากตั้งแต่ทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯ ตระหนักแล้วว่า ภัยคุกคามที่รุนแรงที่สุดต่อสหรัฐฯ คือ การขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีน ดังนั้นไม่ว่าใครจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี การบั่นทอน และการปิดล้อมจำกัดเขตการขยายอิทธิพลของจีน จึงเป็นภารกิจสำคัญที่สุด
นั่นหมายความว่าในระยะสั้น ในปี 2021-2022 สงครามการค้า ยังคงดำเนินต่อไป สหรัฐฯ ยังคงรักษามาตรการกีดกันทางการค้าอย่างต่อเนื่อง อาจจะรักษาอยู่ในระดับเดิมในกรณีที่ Joe Biden ชนะการเลือกตั้ง แต่หาก ประธานาธิบดี Trump ยังคงดำรงตำแหน่งต่อเนื่องอีก 1 วาระ เราอาจจะเห็นสงครามการค้าที่รุนแรงยิ่งขึ้น
แต่ในระยะกลาง (3-5 ปีข้างหน้า) หาก Joe Biden ชนะการเลือกตั้งขึ้นเป็นประธานาธิบดี เราจะเห็น การกลับมาใช้นโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมเชิงสถาบัน (Neo-Liberal Institutionism) ที่สหรัฐฯ จะเน้นการสร้างสถาบัน
อาทิ องค์การระหว่างประเทศ ความร่วมมือ ข้อตกลงการค้าเสรี ในรูปแบบที่สามารถโดดเดี่ยวจีน และมีคุณสมบัติสำคัญอีก 3 ข้อ นั่นคือ
1) สหรัฐฯ ต้องเป็นผู้ร่วมร่างและกำหนดทิศทางการร่างกฎกติกา
2) สหรัฐฯ ต้องเป็นกรรมการผู้ควบคุมกฎกติกา
และ 3) สหรัฐฯ เข้าเป็นผู้เล่นในเวทีดังกล่าว
ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ ใช่เรื่องใหม่ เพราะในอดีตประธานาธิบดีจากพรรค Democrat นิยมดำเนินนโยบายในลักษณะนี้อยู่แล้ว
ตัวอย่างคือ ในสมัย Bill Clinton ที่ควบคุมกฎกติกาขององค์การการค้าโลก (World Trade Organisation: WTO) และ เขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (North America Free Trade Agreement: NAFTA) หรือในสมัยของ Barack Obama ที่พยายามควบคุมกฎระเบียบในการเจรจาการค้าภายใต้กรอบ Trans-Pacific Partnership: TPP
เชื่อว่าหาก Joe Biden ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ในระยะสั้นสงครามการค้ายังคงดำเนินต่อไป และในระยะกลาง ทางเลือกของสหรัฐฯ คือการกลับเข้าสู่การเจรจาการค้าเสรี ซึ่งตัวเลือกที่เป็นไปได้คือ Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership: CPTPP และ/หรือ การเปิดเวทีเจรจาการค้าในกรอบใหม่ๆ เพื่อโดดเดี่ยวจีน ซึ่งยุทธศาสตร์ Indo-Pacific Strategy อาจจะถูกนำมาขยายขอบเขตจนกลายเป็นเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจใหม่ในนาม Indo-Pacific Economic Cooperation ก็มีความเป็นไปได้