กระสุน 9 นัด สยบ 3 สารพิษ อาบแผ่นดินได้หรือไม่

18 ตุลาคม 2562

คอลัมน์ปฏิกิริยา ฐานเศรษฐกิจ ...โดย บิ๊กอ๊อด ปากพนัง

 

หลายสิบปีมาแล้วที่ผืนแผ่นดินไทยถูกอาบไปด้วยสารพิษนานาชนิด ในนั้นคือสารที่ใช้ในวงการการเกษตร เพื่อกำจัดศัตรูพืช อันได้แก่ คลอร์ไพริฟอส พาราควอต และไกลโฟเซต ที่นายทุนต่างชาตินำเข้ามาจำหน่ายให้แก่เกษตรกร ในราคาจับต้องได้ จึงเป็นที่นิยมชมชอบ

 

แต่หลายคนไม่ได้ตระหนักว่าสารเคมีเหล่านี้ ทำให้คนปลูกป่วยถึงตายได้ พอๆกับคนกินพืชผักผลไม้ เพราะมีสารพิษตกค้าง 

 

มีสถิติที่น่าตกใจว่า 4 ปีที่ผ่านมา คนตายเกือบ 3,000 และเกือบ 5,000 ต้องเจ็บป่วยทรมานรักษาตัว สูญเสียงบประมาณมหาศาล

 

ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งตั้งข้อสงสัยว่าจะมีสารเคมีตัวไหนมาทดแทนกันได้ เมื่อเคมีมีสารพิษทั้งสิ้น ยังจะถามกันอีกหรือ 

 

อย่างไรก็ตาม คำตอบคือ คนไทยเก่งๆ มากมาย นักวิจัยเก่งๆ (แต่จะอยู่เมืองไทยมั้ยนะ) ปราชญ์ชาวบ้าน พืชสมุนไพร ที่คนไทยใช้มาแต่โบราณแล้ว หรือเกษตรอินทรีย์ มันคือคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว เราหลงหลวมตัวไปนานแล้วกับความง่าย แต่แฝงความร้ายกาจ  ลองคิดตามว่า 58 ประเทศที่เขายกเลิกใช้สารเคมีเกษตร 3 ชนิดนั้น เขาทำอย่างไรกันล่ะ

 

แต่ในที่สุดก็มีอัศวินหญิง “มนัญญา ไทยเศรษฐ์” รมช.เกษตรฯควบม้า ถือหอก จี้ให้กรรมการส่วนรัฐ ผู้นำเข้า เกษตรกร และผู้บริโภค 4 ฝ่าย ลงมติ  ผลการลงมติ 9 ต่อ 0

 

 

เมื่อผลการลงมติเป็นเช่นนี้ อัศวินหญิง จึงมั่นใจว่า วันที่  22 ตุลาคมนี้  มติคณะกรรมการวัตถุอันตรายก็จะไม่พลิกโผ ทุกอย่างต้องจบ เว้นแต่มีใครรับผลประโยชน์...

              

“ต้องไปนั่งเฝ้าหน้าห้องแน่นอน ตอนนี้มั่นใจเกือบเต็มร้อยแล้วว่าแบน 3 สารเคมีได้สำเร็จ” รมช.เกษตรฯหญิงกล่าว

 

ส่วน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนการแบน 3 สารเคมีทางการเกษตรว่า เคยแสดงจุดยืนไปตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว และเป็นเรื่องของคณะกรรมการวัตถุอันตราย “กำลังดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน” ซึ่งจะต้องลงมติในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ 

           

นับเป็นการแสดงจุดยืนต่อการแบนสารพิษเกษตรทั้ง3ตัวนี้ของนายกรัฐมนตรี หลังจากมีการถกเถียงจากทั้งฝ่ายต่อต้านการแบนสารพิษและฝ่ายสนับสนุนการแบนสารพิษ 

 

ดูเหมือนคะแนนจะเทมาทางข้างแบนสารพิษ แต่ไม่มีอะไรชัดเจน จนกว่าจะถึงวันนั้น  หากไม่มีพลังเร้นลับภายนอกทำให้ต้องเลื่อนลงมติไปอีก

 

แต่ที่ชัดเจน ณ ตอนนี้คือคุณภาพชีวิตคนไทย สุ่มเสี่ยง ไร้ค่า และแสนถูก

 

ขณะที่กระแสโลกออกมาแบนพาราควอตกว่า 58 ประเทศ ประเทศเพื่อนบ้าน เขมร ลาว เวียดนาม  เกือบทุกประเทศในอาเซียน รวมทั้งไต้หวัน ก็ร่นเวลาการยกเลิกใช้เร็วขึ้นจาก ปี 2563 เป็น 2562 ไม่รวมประเทศจีนแผ่นดินใหญ่นั้น แบนทุกรูปแบบกันเลย

 

นั้นเพราะประเทศเหล่านั้นรักและหวงแหนคนของเขา เขาเห็นว่า “คนของเขาคือทรัพยากรล้ำค่า”

 

แล้วประเทศไทยเราล่ะ เปรียบดั่งครัวของโลก ไม่รู้ใครกล่าวไว้ เลี้ยงคนทั้งโลก เพราะไทยเป็นประเทศส่งออกสินค้าด้านการเกษตรเป็นลำดับต้นๆของโลก 

 

“น่าจะตื่นตัวเรื่องสารเคมีตกค้าง อย่างน้อยก็เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่กลับปฏิบัติการ “กำจัด 3 สารพิษ” ได้ยากยิ่งยวด เป็นเพราะอะไรกันหนอ หรือมีอะไรมาบังหู บังตา”

 

อันที่จริงหน่วยงาน เอ็นจีโอ ได้ทำงานเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ทั้งคอยกระตุ้นเตือน และให้ข้อมูลแก่ทุกภาคส่วน  กระทั่งแพทย์ นักวิจัย ก็ได้ออกมายืนยันถึงพิษร้ายของสารพิษกำจัดศัตรูพืช ที่มีผลรุนแรงต่อผู้ใช้และผู้ได้รับโดยการรับประทาน นักวิจัยจากสถาบันการศึกษาต่างออกมารายงานผลวิจัยที่สอดคล้องกัน

 

แต่ในที่สุดเราก็ได้รู้ชัดแจ้งแล้วว่า “ผลประโยชน์” มันบดบัง “คุณภาพชีวิตคนไทย”

 

ขอแฉว่าใครจะใช้สารเคมีเพื่อการเกษตรตัวใดก็ตาม ต้องตรงแหนวไปที่ “กรมวิชาการเกษตร” ที่นี่คือแหล่ง “ประทับตรา” อนุมัติ ส่วนจะเข้าไปรุนร่องช่องของหน่วยงานย่อยไหน ก็ว่ากันไป

 

แน่นอนว่า (บริษัท)เล็กๆไม่ (บริษัท)ใหญ่ ๆ ทำ พูดง่ายๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ ทุนหนา ต้องมาก่อน เพราะมีหลายส่วนต้องแบ่งปันกันไป

 

ผมว่าตอนนี้ประเทศไทยไม่ได้ต้องการคนมีความรู้ มีการศึกษาสูง แต่ต้องการคนที่รักบ้านเมือง รักคนร่วมชาติ 

 

ผมเห็นหลายท่าน จบการศึกษาระดับประถม หรือไม่จบเลยด้วยซ้ำ แต่ได้รับการยกย่องเป็น ปราชญ์ชาวบ้าน รอบรู้ เอื้อเฟื้อ และมีคุณธรรมยิ่งกว่าคนมีการศึกษา คนเรียกว่าอาจารย์ทำงานในมหาวิทยาลัย ชื่อดัง ที่เอ่ยปากดูถูกรัฐมนตรี บางท่านเป็นถึงลูกท่านหลานเธอ จบต่างประเทศ แต่กลับดูแคลนเด็กน้อยวัยรุ่น ที่ออกมารณรงค์ให้ผู้ใหญ่ลดการสร้างมลพิษ

 

แต่ที่แน่ๆ งานนี้ต้องขอชมหญิงใจเด็ด มือก็ไกว ดาบก็แกว่ง “มนัญญา ไทยเศรษฐ์” รมช.เกษตรฯ เจ้าของวาทะ “ยาพิษ มันราดรด ประเทศไทยมานานแล้ว จะปล่อยให้ทำร้ายประชาชนไปถึงไหน”

 

กระแทกหนักๆ ถึงใครบางคนบางกลุ่ม