ไมเนอร์ฯเดินเกมรุกเปิด 13 โรงแรมใหม่ทั่วโลกปี64

11 เม.ย. 2564 | 02:45 น.

ไมเนอร์ฯกางแผนปี2564 รุกเปิดโรงแรมใหม่ 13 แห่งทั้งในไทย-ต่างประเทศ รุกดิลิเวอร์รีฟู้ด มุ่งสร้างรายได้จากการขายอสังหาฯควบคู่ลดค่าใช้จ่าย ยันมีเงินทุนสำรองอยู่ได้ 2 ปี

ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กางแผนปี2564 รุกเปิดโรงแรมใหม่ 13 แห่งทั้งในไทย-ต่างประเทศ รุกดิลิเวอร์รีฟู้ด มุ่งสร้างรายได้จากการขายอสังหาฯควบคู่ลดค่าใช้จ่าย ยันมีเงินทุนสำรองอยู่ได้ 2 ปี ทั้งจ่อออก Warrant เสริมความแข็งแกร่ง หลังทั่วโลกเริ่มใช้วัคซีนโควิด19

จากผลกระทบของโควิด-19 แม้จะส่งผลให้ในปีที่ผ่านมาบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ขาดทุนร่วม 2 หมื่นล้านบาท แต่จากแนวโน้มทางธุรกิจเชิงบวกจากการกระจายวัคซีนในหลายประเทศ

ทำให้ในปี 2564 ไมเนอร์โฮเทลส์ เตรียมพร้อมสำหรับการกลับมาดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง รวมถึงเปิดให้บริการโรงแรมใหม่อีก 13 แห่ง ทั้งในไทยและต่างประเทศ ภายใต้แบรนด์อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์ และทิโวลี่ 13 โรงแรมใหม่นี้ มีทั้งลงทุนเองและรับบริหาร โดยแบรนด์อวานี ได้แก่ อวานี พลัส เกาะลันตา (รับบริหารเปิดให้บริการพ.ย.64)), อวานี พลัส เขาหลัก รีสอร์ท (ลงทุนเอง เปิดให้บริการพ.ย.64) อวานี มัสกัตโฮเทล โอมาน (รับบริหาร เปิดไตรมาส3 ปี64), อวานีพลัส แฟร์ส มัลดีฟส์ รีสอร์ท (ลงทุนเอง เปิดธ.ค.64), Avani Doc Let เวียดนาม (รับบริหาร เปิด ธ.ค. 64)

แบรนด์อนันตรา ได้แก่ อนันตรา นิวยอร์ค พาเลซ บูดาเปสต์ ฮังการี (เช่า), อนันตรา ปาลาซโซ นายาดี โรม อิตาลี (เช่า), อนันตรา ที่อัมสเตอร์ดัม(เช่า), เดอะ พลาซ่า โดฮา บาย อนันตรา (บริหาร)โดยทั้งหมดเปิดให้บริการเดือน ก.ย.ปี 64

แบรนด์โอ๊คมี 3 แห่ง คือ โอ๊ค หางโจว จีน (บริหาร เปิดส.ค.64),โอ๊ค เฉินตู จีน (บริหาร เปิดส.ค.64) และโอ๊ค โฮเทล แอนด์สวีทส์ไนโรบี (บริหาร เปิดพ.พ.64)  และแบรนด์ทิโวลา ได้แก่ ทิโวลา เฉินตู (บริหาร เปิดม.ย.64)

การขยายแบรนด์โรงแรมเพิ่มขึ้นในปีนี้ ทำให้ไมเนอร์โฮเทลส์ มีจำนวนโรงแรมทั่วโลกเพิ่มขึ้น รวมจำนวนห้องพัก 3,092 ห้อง จากปัจจุบันที่ไมเนอร์ โฮเทลส์ มีโรงแรมในไทย  4,809 ห้อง คิดเป็นสัดส่วน 6% และในต่างประเทศ 70,829 ห้อง คิดเป็น 94% ใน 54 ประเทศ ครอบคลุมทวีปเอเชีย โอเชียเนีย ยุโรป อเมริกา และแอฟริกา

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่าหลังผ่าน 2 เดือนแรกของปี 2564 MINT คาดการณ์ว่าธุรกิจจะยังคงเผชิญกับความท้าทายในช่วงครึ่งปีแรก จนกว่าจะมีการกระจายของวัคซีนในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม MINT อยู่ในฐานะที่พร้อมจะดำเนินธุรกิจเมื่อพรมแดนของแต่ละประเทศกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวและภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว      

ส่วนไมเนอร์ ฟู้ดจะยังคงมุ่งขยายตลาดการจัดส่งอาหารที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในระยะสั้น ยอดขายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเป็นแรงผลักดันของรายได้โดยรวมและกระแสเงินสดของ MINT ควบคุมค่าใช้จ่ายและเงินลงทุน ด้วยเงินสดจำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อจำนวน 2.8 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมกราคม 2564 MINT มีเงินทุนสำรองที่เพียงพอสำหรับการดำเนินงานต่อไปได้อีกนานกว่า 2 ปี และการฟื้นตัวของธุรกิจจะช่วยให้บริษัทมีเงินสดที่เพิ่มขึ้น

ไมเนอร์ฯเดินเกมรุกเปิด 13 โรงแรมใหม่ทั่วโลกปี64

นอกจากนี้MINT ยังคงมุ่งบริหารจัดการฐานะทางการเงินเชิงรุก โดยในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา MINT ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อขยายระยะเวลาการยกเว้นการทดสอบการดำรงอัตราส่วนทางการเงินออกไปอีกสองปีจนถึงสิ้นปี 2565 นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นกู้ของ MINT ได้อนุมัติการแก้ไขคำจำกัดความของข้อกำหนดสิทธิ โดยไม่นับรวมผลกระทบจากการด้อยค่าสินทรัพย์จากสถานการณ์โควิด-19  ในส่วนของผู้ถือหุ้นเพื่อการคำนวณอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าวไปจนถึงสิ้นปี 2567

อีกทั้งคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งมีวันครบกำหนดในปี 2566 (MINT W-8 Warrants) และ 2567 (MINT W-9 Warrants) โดยการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิจะช่วยเสริมสร้างฐานส่วนของผู้ถือหุ้นของ MINT ให้เพิ่มขึ้นอีกจำนวน 1 หมื่นล้านบาทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ด้วยจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นเพียง 6.2% ทั้งนี้มาตรการอยู่ระหว่างการดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่2 และ 3 ของปี 2564

ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ บริษัทยังคงเห็นสัญญาณเชิงบวกในกลุ่มธุรกิจของเรา เช่น ผลการดำเนินงานของไมเนอร์ ฟู้ด ปรับตัวดีขึ้น โดยมีกำไรสุทธิ 540 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2563 สาเหตุมาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีน

สำหรับไมเนอร์ โฮเทลส์ ในประเทศมัลดีฟส์ และออสเตรเลีย มีการฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ทั้ง 2 ประเทศมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละเดือน แม้ว่าเครือโรงแรมในทวีปยุโรป จะประสบปัญหาการชะลอตัวและข้อจำกัดต่างๆ ที่เกี่ยวกับการระบาดระลอกที่ 2 ซึ่งส่งผลให้มีการปิดพื้นที่ในหลายเมือง แต่เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ยังคงดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพด้วยแพลตฟอร์มการขายที่แข็งแกร่ง

อีกทั้งการฟื้นตัวของอนันตรา เวเคชั่น คลับ และยอดขายของโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สามารถกลับมาสร้างผลกำไรสุทธิได้ในไตรมาส 4 ปี 2563 ซึ่งในปีที่ผ่านมา MINT สร้างรายได้ถึง 2,500 ล้านบาท จากโครงการวิลล่าสำหรับพักอาศัยจำนวน 8 หลังในภูเก็ต ได้แก่ ลายัน เรสซิเดนเซส บาย อนันตรา, อวาดิน่า ฮิลส์ บาย อนันตรา

หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,660 วันที่ 11 - 13 มีนาคม พ.ศ. 2564

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: