นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยระหว่างการประชุมมอบนโยบายการช่วยเหลือ ส่งเสริม และสนับสนุนผู้ประกอบการ “เอสเอ็มอี” (SMEs) ว่า ได้มอบหมายให้ สสว. และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ รวมถึง บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในการเข้าไปช่วยดูแล และหามาตรการเพิ่มเติมเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
ทั้งนี้ ล่าสุด สสว. อยู่ระหว่างจัดทำโครงการเติมพลัง ฟื้นชีวิต ต่อทุนเอสเอ็มอี เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการที่ไม่เคยได้รับสินเชื่อกับสถาบันการเงิน และไม่มีสินเชื่อคงค้างกับสถาบันการเงิน วงเงินเบื้องต้น 50,000 ล้านบาท โดยคาดว่าผู้ประกอบการจะได้รับความช่วยเหลือ 765,000 ราย ซึ่งจะต้องเร่งทำโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติภายในสัปดาห์หน้า
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการ สสว. กล่าวว่า ปัจจุบันมีเอสเอ็มอีที่ยังไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้ หรือแหล่งเงินทุน รวมประมาณ 24% หรือประมาณ 7 แสนรายตามข้อมูลของ สสว. โดยมาตรการแรกที่จะช่วยภายใต้วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งน่าจะช่วยได้ประมาณ 5 แสนราย โดยอาจจะได้ต่ำกว่าข้อมูลพื้นฐานของ สสว. ได้แก่
1.เงินอุดหนุนให้กับบุคคลธรรมดา นิติบุคคลที่จดทะเบียนพาณิชย์ หรือยังไม่จดทะเบียนพาณิชย์ก็ได้ แต่ประเด็นสำคัญก็คือจะต้องมีสถานประกอบการที่เป็นหลักแหล่ง ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการดำเนินธุรกิจมาแล้วในระยะเวลาหนึ่ง โดยจะเป็นการ “เติมพลังฟื้นชีวิต” วงเงินไม่เกิน 1 แสนบาท โดยจะมีทีมงานที่เข้าไปพิสูจน์ธุรกิจของเอสเอ็มอี (KYC) ซึ่งจะมาจากธนาคารของรัฐบาล เช่น ธนาคารออมสิน ,ธนาคารกรุงไทย และธนาคารเพื่อพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ “ธพว.” (SME D Bank) เป็นต้น
,2.การเพิ่มทุนให้กับธุรกิจที่มีโอกาส และมีศักยภาพ โดย สสว.จะเข้าไปร่วมทุนในกิจการของเอสเอ็มอี หรือที่เรียกว่าเป็นการเพิ่มทุน และ3.วงเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องในวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย โดยวงเงิน 1 แสนบาทต่อราย และ 1 ล้านบาทต่อรายจะเป็นการปล่อยกู้แบบผ่อนปรนที่มีกฎระเบียบ มีกติกาที่แตกต่างจากธนาคารปกติ โดยดอกเบี้ยเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 1% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระประมาณ 10 ปี
สำหรับผู้ประอบการที่จะเข้าร่วมคือจะต้องร่วมเข้าอบรมหรือพัฒนาทักษะตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ได้รับเงินกู้ไป ซึ่งอาจจะ 1 ครั้งต่อปี โดยจะทำให้ได้เอสเอ็มอีที่มีคุณภาพ ไม่ใช่เข้ามาเพื่อรับเงินสินเชื่อเท่านั้น แต่จะต้องมีการพัฒนาทักษะในการทพธุรกิจด้วย ซึ่งเป็นข้อกำหนดเบื้อต้น และจะต้องรายงานตลอดระยะเวลาที่อยู่ในโครงการ นอกจากนี้เอสเอ็มอีจะต้องเข้าร่วมเป็นสมาชิกอย้างใดอย่างหนึ่งของภาคระฐหรือเอกชน เพื่อให้มีฐานข้อมูลที่ชัดเจน เช่น กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) หรือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งไม่รวมการเป็นสมาชิกของ สสว. ที่เอสเอ็มอีจะต้องเป็นตั้งแต่วันแรกที่เข้าสู่ระบบ
“กลุ่มเป้าหมายจะเป็นผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาที่มีสถานประกอบการเป็นหลักแหล่ง ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนเป็นพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ นิติบุคคล และวิสาหกิจชุมชนที่มีการจดทะเบียน หรือ ที่ไม่ได้จดทะเบียน แต่จะต้องมีคุณสมบัติ 3 ข้อ คือ 1.เป็นสมาชิก สสว. 2.เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ไม่เคยมีสินเชื่อกับสถาบันการเงิน และไม่มีสินเชื่อคงค้างกับสถาบันการเงิน 3.ผู้ขอสินเชื่อต้องไม่ผิดนัดชำระหนี้ หรือ ค้างชำระค่างวดตามเงื่อนไขไม่เกิน 4 งวด ในโครงการพลิกฟื้น sme และโครงการฟื้นฟู sme ของสสว.”
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมนี้ ส่วนรายละเอียดต่างๆ จะออกมาอีกครั้งภายหลังผ่านการอนุมัติจาก ครม. ซึ่งคาดว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ได้ภายในสัปดาห์หน้า
นายวีระพงษ์ กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับแนวทางในการปล่อยกู้นั้น เนื่องจาก สสว. มีกำลังพลไม่มาก เพราะฉะนั้นการดำเนินการจะต้องมีผู้มีรับดำเนินการต่อ โดยที่ระเบียบหรือวิธีการจะเป็นไปตามที่ สสว. กำหนด ซึ่งจะเป็นลักษณะของการตั้งกองทุน โดยมีคณะกรรมการเป็นผู้บริหารจัดการ มีระเบียบและวิธีการไม่ใช่ของระบบธนาคาร แต่จะอยู่บนพื้นฐานของหลักการ หลังจากนั้นจะมีธนาคารของรัฐรับหน้าที่เป็นผู้ปล่อยเงินสินเชื่อ และวิเคราะห์กิจการ เช่น ธพว. และออมสิน เป็นต้น แต่จะพิจารณาตามระเบียบผ่อนปรนตามที่ สสว. กำหนด
นอกจากนี้ สสว.จะสนับสนับสนุน ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เนื่องจากงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในแต่ละปีมีวงเงินค่อนข้างสูง โดยในปี 62 มีมูลค่าตลาดภาครัฐรวมกว่า 1.3 ล้านล้านบาท หากช่วยให้เอสเอ็มอีเข้าถึงโครงการจัดซื้อจัดจ้างได้ 30% จะสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการกว่า 400,000 บ้านบาท ซึ่งคาดว่ามาตรการดังกล่าว จะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน-ตุลาคมนี้
ด้านแนวทางสนับสนุนจะมี 2 แนวทาง คือ 1.กำหนดโควตาการจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ประกอบการไม่น้อยกว่า 30% ของวงเงินจัดซื้อจัดจ้างในหมวดสินค้าและบริการที่กำหนด ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการ เข้าถึงตลาดภาครัฐได้ รวมทั้งหน่วยงานรัฐจะต้องคัดเลือกจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ประกอบการในจังหวัดก่อน แต่หากไม่มีสินค้าหรือบริการในจังหวัดจึงจะคัดเลือกจากผู้ประกอบการนอกจังหวัดได้ เพื่อให้เกิดการกระจายโอกาสให้ผู้ประกอบการในท้องถิ่น
2.กำหนดแต้มต่อด้านราคา โดยหน่วยงานรัฐจะต้องให้แต้งต่อกับผู้ประกอบการที่เสนอราคาสูงกว่าราคาต่ำสุดได้ 10% กรณีที่ใช้การประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ใช้เกณฑ์ราคาต่ำสุด เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้
แนวทางการดำเนินงาน จะกำหนดหมวดสินค้าและบริการที่ให้การส่งเสริม จากนั้นจะเข้าไปสร้างการรับรู้ให้กับผู้ประกอบการ โดยการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการทั่วประเทศ ได้รับสิทธิประโยชน์และเข้ามาขึ้นทะเบียนกับสสว. จัดทำฐานข้อมูลผู้ประกอบการ และสินค้า จัดทำระบบสืบค้นข้อมูลผู้ประกอบการตามจังหวัดและสินค้า เพื่อให้หน่วยงานรัฐเข้ามาค้นหาได้สะดวก
นอกจากนี้ จะจัดอบรมหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน องค์กรอิสระ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาและกองทุนฯ เพื่อให้มีความพร้อม ซึ่งจะเริ่มใช้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างแบบใหม่ภายในปีงบประมาณ 64 และจะมีการติดตามผลทุกปี เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยให้หน่วยงานราชการผลการจัดซื้อจัดจ้างจากเอสเอ็มอีประจำปี