นายกุลิศ สมบัติสิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการรับซื้อไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม เบื้องต้นมีโครงการที่สามารถนำร่องได้แล้ว 4 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ ขนาดกำลังผลิต 1 เมกะวัตต์ ที่ อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ โรงไฟฟ้าชีวมวล จากซังข้าวโพด ขนาด 1 เมกะวัตต์ ที่ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปีนี้ หลังจากที่ผ่านความเห็นชอบจากบอร์ดกฟผ.เรียบร้อยแล้ว ส่วนอีก 2 โครงการ จะเป็นของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้แก่ โรงไฟฟ้าที่จังหวัดนาธิวาส และโรงไฟฟ้าที่จังหวัดยะลา มีกำลังการผลิตไม่เกิน 10 เมกกะวัตต์ ซึ่งมีพื้นที่อยู่แล้ว
ขณะที่โรงไฟฟ้าเอกชนนที่ดำเนินการในลักษณะโครงการในรูปแบบเร่งรัดหรือกลุ่มคิกวิน (Quick win) ขั้นตอนล่าสุดกำลังอยู่ระหว่างการร่างสัญญา (TOR) เพื่อให้อยู่บนเงื่อนไขที่ชุมชนจะต้องได้รับประโยชน์สูงสุด อีกทั้งในพื้นที่ดังกล่าวจะต้องมีสายส่งในการรองรับการขายไฟนี้เข้าไปได้ด้วย
นายกุลิศ สมบัติศิริ
“การดำเนินงานกลุ่มควิกวินจะต้องพิจารณาอย่างรอบครอบ เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาในเรื่องของการล็อกสเปก ซึ่งมีกระแสข่าวถูกนำเสนออกมา โดยในการประชุมคณะอนุกรรมการฯในวันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้ จะมีการนำเรื่องหลักเกณฑ์การเปิดประมูลของกลุ่มควิกวินให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณา เพราะยังมีรายละเอียดอีกมากที่ต้องดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอนแทร็กฟาร์มมิ่ง หรือหากไม่มีเชื้อเพลิงในพื้นที่จะสามารถซื้อเชื้อเพลิงจากที่อื่นมาได้หรือไม่ โดยล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้มีการอนุมติจัดตั้งคณะกรรมการบริหารการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากแล้ว
สำหรับหลักเกณฑ์ที่จะต้องพิจารณาเป็นพิเศษนั้น ข้อสำคัญชุมชนจะต้องได้ประโยชน์มากที่สุด รวมถึงทำอย่างไรให้ชุมชนถือหุ้นในโรงไฟฟ้าได้นาน และจะทำอย่างไรให้มีเชื้อเพลิงป้อนโรงไฟฟ้าได้อย่างเพียงพอ ต้องมีสายส่งรองรับ และทำอย่างไรให้ชุมชนได้รับประโยชน์คืนกลับไป สามารถนำไปพัฒนาชุมชนได้ หรือนำไปต่อยอดการทำงานของชุมชนได้อย่างไรบ้าง แม้กระทั่งกลุ่มคลิกวินก็จะต้องมีการเปิดเปิดประมูลด้วยเช่นกัน
“ขอให้มีการเปิดประชุมนัดแรกก่อนจะทำให้ทราบแนวทางของการวางหลักเกณฑ์ว่าควรจะต้องออกมาเป็นอย่างไร โดยจะต้องเปิดให้กับกลุ่มควิกวินก่อน เพราะเป็นโรงงานที่ใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญจะต้องมีสายส่งรองรับ ซึ่งโครงการเอสพีพี ไฮบริด ที่เคยเปิดประมูลไปแต่ยังไม่ได้จ่ายไฟเข้าสู่ระบบเหล่านี้ก็จะถือว่าเป็นกลุ่มคลิกวินทั้งหมด เพราะมีอยู่แล้ว ขณะที่โรงไฟฟ้าทั่วไป จะมีการนำบทเรียนจาก กฟผ. หรือกลุ่มควิกวินเหล่านี้ มาปรับและเปิดใช้ทั่วไป ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นได้ปีหน้า เพราะการก่อสร้างโรงไฟฟ้าอย่างน้อยต้องใช้เวลาประมาณ 12 เดือน”
อนึ่ง โครงการ SPP Hybrid Firm ที่ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 และอยู่ในกลุ่มที่ได้รับคัดเลือกให้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 17 โครงการ ปริมาณเสนอขายรวมทั้งสิ้น 300 เมกะวัตต์ และกำลังผลิตติดตั้งรวม 434 เมกะวัตต์ กำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งจะมีการปรับรูปแบบแต่ละโครงการให้เล็กลงขนาดกำลังผลิตไม่เกิน 10เมกะวัตต์ และจัดตั้งประชาคมร่วมกับชุมชนเพื่อให้สามารถเข้าร่วมในโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ที่จะได้รับการอุดหนุนค่าไฟฟ้าในอัตราที่จูงใจมากกว่า