“ฉีดวัคซีนโควิด”แล้วเที่ยวประเทศไหนในยุโรปได้ไม่ต้องกักตัว

21 มี.ค. 2564 | 01:45 น.

ฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบโดสแล้วเที่ยวประเทศไหนในยุโรปได้ไม่ต้องกักตัว อียู ยังเสนอใช้‘วัคซีน พาสปอร์ต’ กระตุ้นท่องเที่ยวเเบบปลอดภัยทั่วยุโรป ลุ้นเปิดตัวภายใน 3 เดือนนี้

จากข้อมูลของForbes, Euronews พบว่าล่าสุดเริ่มมีบางประเทศในสหภาพยุโรป(อียู) เปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวแล้ว หลังผ่านการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบโดสแล้ว

โดยประเทศแรกในสหภาพยุโรป ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก หากผ่านการฉีดวัคซีนครบโดสเรียบร้อยแล้ว คือประเทศ “ไอซ์แลนด์” ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของคนที่อยากไปเที่ยวชมแสงเหนือ แต่นักท่องเที่ยวต้องมีใบรับรองที่ออกโดย EU หรือองค์การอนามัยโลก (WHO) แล้วเท่านั้น ซึ่งปัจจุบัน WHO ยังไม่ให้การรับรองวัคซีนที่ผลิตโดยจีนและรัสเซีย

โดยไอซ์แลนด์เป็นประเทศแรกๆ ของโลกและเป็นประเทศแรกของสหภาพยุโรป (EU) ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก หากได้รับวัคซีนครบโดสเรียบร้อยแล้วโดยไม่ต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 และกักตัว  

ไอซ์แลนด์

ทั้งนี้นโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกของไอซ์แลนด์เริ่มแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 มีนาคม2564  เว็บไซต์ Schengenvisainfo  ระบุว่า ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของไอซ์แลนด์จะยอมรับใบรับรองการฉีดวัคซีนเพื่อเข้าสู่ไอซ์แลนด์ใน 3 กรณีนี้

1 ใบรับรองการเข้ารับการฉีดวัคซีนโดย EU หรือ EEA

2.ใบรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า WHO ได้ตรวจสอบและรับรองวัคซีนที่ใช้ฉีดในใบรับรองการฉีดวัคซีนของบุคคลนั้นแล้ว

3. ใบรับรองว่าบุคคลนั้นเคยมีเชื้อโรคโควิด-19  ในร่างกาย โดยต้องสอดคล้องกับคุณสมบัติที่ “หัวหน้านักระบาดวิทยา” ของประเทศกำหนดไว้ (กรณีนี้คือตรวจสอบแล้วว่า บุคคลนั้นสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นเองหลังจากผ่านการติดเชื้อมาก่อน)

ภาคธุรกิจท่องเที่ยวถือเป็นสัดส่วนน้อยในจีดีพีของประเทศไอซ์แลนด์ โดยคิดเป็นเพียง 3.5% ของจีดีพีประเทศเมื่อปี2562  แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวสำคัญของไอซ์แลนด์คือสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันราว 41% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด

ดังนั้น เมื่อคนอังกฤษและคนอเมริกันคือหนึ่งในกลุ่มชนชาติที่ได้รับวัคซีนแล้วเป็นจำนวนมาก และเป็นสัดส่วนที่มากยิ่งกว่าค่าเฉลี่ยของประชาชน EU ด้วย ทำให้การตัดสินใจเปิดประตูรับนักเดินทางที่ฉีดวัคซีนแล้วมีความเหมาะสม

นอกจากนี้ประเทศที่เตรียมจะเปิดรับนักท่องเที่ยวอันดับต่อไป คือ“กรีซ” ซึ่งขณะที่อียู ยังหารือเพื่อทำระบบวัคซีนพาสปอร์ต ร่วมให้ประชาชนในอียู ที่รับวัคซีนแล้วเดินทางได้อิสระในเขตอียู โดยวางแผนจะเริ่มใช้ได้ราวกลางเดือนพฤษภาคมนี้ ประเทศกรีซก็ได้ขยับไปเร็วกว่าแล้วเพื่อจะเปิดประเทศให้เร็วที่สุด ให้ทันช่วงฤดูใบไม้ผลิที่จะเริ่มต้นเดือนเมษายนนี้ และหน้าไฮซีซันของกรีซซึ่งจะเริ่มในเดือนพฤษภาคม

ซานโตรินี่

โดยกรีซมีการเจรจาโครงการ “Green Pass” นำร่องกับ บางประเทศในอียู, อิสราเอล และ สหราชอาณาจักร ให้ประชาชนในประเทศเหล่านั้นที่มี ใบรับรองการฉีดวัคซีน หรือ มีใบรับรองมีภูมิคุ้มกันเนื่องจากผ่านการติดเชื้อ หรือ ผลตรวจปลอดเชื้อโควิด-19  สามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว แต่ ตม. ของกรีซจะมีการสุ่มตรวจเป็นบางราย

นอกจากกลุ่มประเทศนำร่อง กรีซยังเดินหน้าเจรจาต่อเนื่องอีก 9 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย, เซอร์เบีย, รัสเซีย, ยูเครน, จีน, UAE และ ซาอุดีอาระเบีย เพื่อจะใช้นโยบาย Green Pass แบบเดียวกัน

ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของพนักงานธุรกิจท่องเที่ยว คนทำงานโรงแรมและการท่องเที่ยวซึ่งมีกว่า 3 แสนคนทั่วประเทศจะได้รับการฉีดวัคซีนก่อนด้วย เพราะกรีซต้องการให้การธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัวคิดเป็นมูลค่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของปี2562

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: