สรุป มติ ครม. 9 มีนาคม 2564

09 มี.ค. 2564 | 13:55 น.

จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 9 มีนาคม 2564 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม สรุปสาระสำคัญดังนี้

กฎหมาย

1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมอัตราดอกเบี้ยในกฎหมาย)

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยที่มิได้กำหนดโดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง และอัตราดอกเบี้ยผิดนัด โดยปรับจากอัตราคงที่ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี เป็น ร้อยละสามต่อปี และร้อยละห้าต่อปีตามลำดับ และกำหนดฐานการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ในหนี้ที่เจ้าหนี้กำหนดให้ลูกหนี้ผ่อนชำระเป็นงวด เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์และสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันและเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมและความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ

สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ

                1. แก้ไขเพิ่มเติมอัตราดอกเบี้ยที่มิได้กำหนดโดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง โดยปรับจาก “อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี” เป็น “อัตราร้อยละสามต่อปี” โดยอาจปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

                2. แก้ไขเพิ่มเติมอัตราดอกเบี้ยผิดนัด โดยปรับจาก “อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี” เป็น “อัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี” (เท่ากับอัตราร้อยละ 5 ต่อปี)

                3. กำหนดฐานการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ในหนี้ที่เจ้าหนี้กำหนดให้ลูกหนี้ผ่อนชำระเป็นงวด โดยกำหนดให้เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในงวดใด เจ้าหนี้อาจคำนวณจำนวนดอกเบี้ยผิดนัดได้เฉพาะจากต้นเงินของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดแล้วเท่านั้น

                4. กำหนดบทเฉพาะกาลให้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ใช้แก่การคิดดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ แต่จะมีผลให้ข้อตกลงที่กำหนดให้เจ้าหนี้คำนวณดอกเบี้ยจากต้นเงินที่ค้างชำระทั้งหมดตกเป็นโมฆะทันทีที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ

2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่สำนัก ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ 

                ทั้งนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอว่า

                1. พระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 มาตรา 21 บัญญัติให้องค์การมหาชนทุกแห่งดำเนินการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 ไปยังคณะรัฐมนตรีภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หากไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการแทนและเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาองค์การมหาชนได้ดำเนินการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งฯ แล้วเสร็จ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จำนวน 33 แห่ง คงเหลือ จำนวน 1 แห่ง คือสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (สธท.)  

                2. โดยที่ปัจจุบัน สธท. ได้มีภารกิจที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมการดำเนินงานในด้านการส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ชั้นสูงด้านหลักนิติธรรม การศึกษาวิจัยในประเด็นที่ซับซ้อนหรือสหวิทยาการ เพื่อพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปตามมาตรฐานระหว่างประเทศ การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม การให้ความรู้ทางกฎหมายและสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมด้านหลักนิติธรรม จึงสมควรแก้ไขปรับปรุงวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของ สธท. ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 

                3. จึงได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เพื่อให้สามารถดำเนินงานรองรับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเปลี่ยนแปลงไป และเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 อันจะส่งผลให้การบริหารงานและการปฏิบัติภารกิจของ สธท. มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น  

                4. ในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาตามข้อ 3. และมีมติให้ตัดร่างมาตรา 8 (10) ที่กำหนดให้ปฏิบัติงานหรือดำเนินการอื่นใดตามที่คณะรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการมอบหมายออก เนื่องจากการดำเนินงานของ สธท. ต้องดำเนินการภายใต้วัตถุประสงค์จัดตั้งเท่านั้น ซึ่งสำนักงาน ก.พ.ร. ได้มีหนังสือที่ นร 1208/453 ลงวันที่ 14 กันยายน 2563 แจ้งมติ กพม. ให้ สธท. ทราบแล้ว

จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ

                สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา

                แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2554 เพื่อปรับปรุงวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของ สธท. ให้สอดคล้องกับภารกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2539 รายละเอียด ดังนี้ 

                1. กำหนดความหมายนิยามคำว่า “คณะกรรมการ” และ “กรรมการ” 

                2. กำหนดให้ สธท. มีวัตถุประสงค์ ดังนี้  

                        2.1 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการอนุวัติข้อกำหนดสหประชาชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและมาตรการที่มิใช่การคุมขัง หรือ “Bangkok Rules” เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินกระบวนการยุติธรรมแก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

                        2.2 ศึกษา วิจัย และเผยแพร่มาตรฐานและบรรทัดฐานของสหประชาชาติ เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา รวมทั้งแนวทางในการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด และการช่วยเหลือผู้กระทำผิดหลังพ้นโทษให้กลับคืนสู่สังคม เพื่อนำไปสู่การพัฒนากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยและต่างประเทศ  
 
                        2.3 ส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ และนวัตกรรมด้านหลักนิติธรรม เสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งให้ความรู้ทางกฎหมายและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม โดยประสานความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และหน่วยงานต่างประเทศหรือระหว่างประเทศ เพื่อนำไปสู่ความเคารพในหลักนิติธรรมและวัฒนธรรมแห่งการเคารพกติกา  

                        2.4 เป็นศูนย์กลางแห่งความเป็นเลิศระดับนานาชาติด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญาในด้านการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดโดยจะเน้นความร่วมมือกับสหประชาชาติสถาบันสมทบ (Programme Network Institute) และความร่วมมือในกรอบอาเซียน  

                        2.5 ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของกระบวนการยุติธรรมของไทยให้ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เพื่อให้เกิดความร่วมมือทางด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ  

                3. กำหนดให้ สธท. มีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้ 

                        3.1 ถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง และทรัพยสิทธิต่าง ๆ    

                        3.2 ก่อตั้งสิทธิ หรือทำนิติกรรมทุกประเภท เพื่อประโยชน์ในการดำเนินกิจการของสถาบัน  

                        3.3 ทำความตกลงและร่วมมือกับองค์การหรือหน่วยงานอื่นทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศในกิจการที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน 

                        3.4 จัดให้มีและให้ทุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบัน 

                        3.5 เข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นในกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของสถาบัน  

                        3.6 กู้ยืมเงินเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน

                        3.7 เรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ค่าตอบแทน หรือค่าบริการในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการกำหนด   

                        3.8 เป็นตัวแทน หรือมอบหมาย หรือว่าจ้างให้บุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ประกอบกิจการต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน

                        3.9 ดำเนินการอื่นใดที่จำเป็นหรือต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของสถาบัน 

                4. ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย” ประกอบด้วย  

                        4.1 ประธานกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูงทางด้านกฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรม ด้านบริหาร หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง และเป็นประโยชน์ต่อกิจการของสถาบัน  

                        4.2 กรรมการโดยตำแหน่ง จำนวนสี่คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และอัยการสูงสุด  

                        4.3 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่เกินห้าคน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ในด้านกฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรม หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อกิจการของสถาบัน  

                        4.4 ให้ผู้อำนวยการเป็นกรรมการและเลขานุการโดยตำแหน่ง และให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เป็นผู้ช่วยเลขานุการได้ตามความจำเป็น  

                        4.5 ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานหรือลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เว้นแต่เป็นผู้สอนในสถาบันอุดมศึกษา 

                5. กำหนดให้ประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะดำรงตำแหน่งกรรมการในองค์การมหาชนเกินกว่าสามแห่งไม่ได้ ทั้งนี้ ให้นับรวมการเป็นกรรมการโดยตำแหน่งและการได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติราชการแทนในตำแหน่งกรรมการด้วยการนับจำนวนการดำรงตำแหน่งกรรมการ ไม่รวมถึงการเป็นกรรมการโดยตำแหน่งที่ได้มีการมอบหมายให้ผู้อื่นปฏิบัติราชการแทน 

                6. กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการและการดำเนินการของสถาบัน เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และให้รวมถึง (1) กำหนดนโยบายการบริหารงาน และให้ความเห็นชอบแผนการดำเนินงานของสถาบัน (2) อนุมัติงบประมาณประจำปี งบการเงิน และแผนการลงทุนของสถาบัน (3) ดูแลฐานะและความมั่นคงทางการเงิน ให้ความเห็นชอบรายงานทางการเงิน พิจารณารายงานของผู้ตรวจสอบการเงิน (4) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการให้ทุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบัน (5) ให้คำแนะนำหรือเสนอแนะการแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคอันเกิดจากการบริหารจัดการ ตลอดจนเสนอคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการในกรณีมีปัญหาหรืออุปสรรคเกี่ยวกับการประสานงานในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของสถาบัน (6) ออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนดเกี่ยวกับสถาบันตาม (ก) – (ญ) สำหรับกรณีตาม (6) (ฉ) การบริหารและจัดการการเงิน การพัสดุ และทรัพย์สินของสถาบัน รวมทั้งการบัญชีและการจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

                7. กำหนดให้สถาบันมีผู้อำนวยการคนหนึ่ง เป็นผู้บริหารกิจการของสถาบันภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการ และให้คณะกรรมการเป็นผู้มีอำนาจสรรหา แต่งตั้งและถอดถอนผู้อำนวยการ การสรรหาผู้อำนวยการให้เป็นไปตามระเบียบของคณะกรรมการซึ่งต้องสอดคล้องกับหลักเกณฑ์กลางที่คณะรัฐมนตรีกำหนด  

                8. กำหนดให้การแต่งตั้งผู้อำนวยการต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันที่มีเหตุต้องแต่งตั้งผู้อำนวยการ และหากมีเหตุผลจำเป็นให้คณะกรรมการขยายระยะเวลาได้อีกไม่เกินหกสิบวัน หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้คณะกรรมการรายงานผลให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหรือผู้อำนวยการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองผู้อำนวยการที่มีอาวุโสตามลำดับรักษาการแทน ถ้าไม่มีรองผู้อำนวยการ หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งกรรมการคนหนึ่งเป็นผู้รักษาการแทน ให้ผู้รักษาการแทนมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้อำนวยการ ในกรณีที่มีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งอื่นแต่งตั้งให้ผู้อำนวยการเป็นกรรมการ หรือให้มีอำนาจหน้าที่อย่างใด ให้ผู้รักษาการแทนเป็นกรรมการหรือมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้อำนวยการด้วย แล้วแต่กรณี  

                9. กำหนดให้การบัญชีของสถาบัน ให้จัดทำตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนดซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี และต้องจัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการเงิน การบัญชีและการพัสดุของสถาบัน ตลอดจนรายงานผลการตรวจสอบให้คณะกรรมการทราบอย่างน้อยปีละครั้ง  ในการตรวจสอบภายในให้มีผู้ปฏิบัติงานของสถาบันทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบภายในโดยเฉพาะ และให้รับผิดชอบขึ้นตรงต่อคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด ในการแต่งตั้ง โยกย้าย เลื่อนเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง และลงโทษทางวินัยของผู้ตรวจสอบภายในให้ผู้อำนวยการและคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาร่วมกันแล้วเสนอให้คณะกรรมการให้ความเห็นชอบก่อนจึงดำเนินการได้

3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเกี่ยวกับการบรรจุหีบห่อ การจัดเก็บ การจัดแยก การจัดทำและแสดงเครื่องหมาย การจัดให้มีเอกสารที่จำเป็นและการขนถ่ายสิ่งของที่อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ พ.ศ. ....

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเกี่ยวกับการบรรจุหีบห่อ การจัดเก็บ การจัดแยก การจัดทำและแสดงเครื่องหมาย การจัดให้มีเอกสารที่จำเป็นและการขนถ่ายสิ่งของที่อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                คค. เสนอว่า

                1. โดยที่มาตรา 190 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการบรรจุหีบห่อ การจัดเก็บ การจัดแยก การจัดทำและแสดงเครื่องหมาย การจัดให้มีเอกสารที่จำเป็น และการขนถ่ายสิ่งของที่อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ และในปัจจุบันการขนส่งทางน้ำมีความจำเป็นต้องกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเฉพาะในเรื่องการขนส่ง และการขนถ่ายสิ่งของที่อาจทำให้เกิดอันตรายได้ เนื่องจากหากเกิดอุบัติเหตุทางน้ำขึ้นโดยสภาพของสิ่งของที่อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ จะส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางน้ำ ทรัพยากรธรรมชาติ และประโยชน์สาธารณะอย่างร้ายแรง ยากต่อการแก้ไขฟื้นฟู และเยียวยา อันส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมทางน้ำและเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานของกรมเจ้าท่าตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยกำหนดไว้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำให้เกิดความมั่นคง ปลอดภัย และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาระบบการขนส่งทางน้ำของประเทศโดยรวม

                2. คค. ได้พิจารณาทบทวนตามคำสั่งของรองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) แล้ว สรุปได้ว่า

                        2.1 ร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ 3 (5) มีที่มาจากประมวลข้อบังคับว่าด้วยการขนส่งสินค้าอันตรายทางทะเลระหว่างประเทศ (IMDG Code) Volume 1 Part 4 Part 5 Part 6 ประกอบกับภาชนะเปล่าที่ผ่านการบรรจุสิ่งของที่อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้มีการกำหนดมาตรฐานและรายละเอียดอื่น ๆ ไว้ในร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ 4 และ 5 ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แล้ว

                        2.2 ร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ 9 มีที่มาจากประมวลข้อบังคับว่าด้วยการขนส่งสินค้าฯ Part 4 Chapter 4.1.5 โดยการเคลื่อนย้ายและการขนส่งสิ่งของที่อาจก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้ระหว่างขนส่งควรอนุญาตให้ขนส่งหรือเคลื่อนย้ายเฉพาะกลุ่มที่ไม่ทำปฏิกิริยาต่อกัน ดังนั้น การจัดแยก (Segregation) ต้องอยู่ในกลุ่มที่เข้ากันได้ (Compatibility Group) เท่านั้น จึงจะให้ทำการขนส่งหรือเคลื่อนย้ายได้ สำหรับกลุ่มที่เข้ากันไม่ได้ (Incompatibility Group) ย่อมไม่สามารถอนุญาตให้ขนส่งหรือเคลื่อนย้ายได้ จึงไม่จำเป็นต้องกำหนดไว้แต่อย่างใด

                        2.3 ร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ 14 และข้อ 15 มีที่มาจากประมวลข้อบังคับว่าด้วยการขนส่งสินค้าฯ Part 1 Chapter 1.1 , 1.3 และ 1.4 ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับกิจกรรมต่อเนื่องกับเรือ หรือท่าเรือที่ต้องปฏิบัติการกับเรือ รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดี กรมเจ้าท่าขอเสนอปรับปรุงถ้อยคำ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการและสาระสำคัญตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง และเป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) แล้ว

จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเกี่ยวกับการบรรจุหีบห่อ การจัดเก็บ การจัดแยก การจัดทำและแสดงเครื่องหมาย การจัดให้มีเอกสารที่จำเป็นและการขนถ่ายสิ่งของที่อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ

                สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง

                1. กำหนดบทนิยามความหมายของสิ่งของที่อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้

                2. กำหนดหลักเกณฑ์คุณภาพ มาตรฐานภาชนะและวิธีการบรรจุสิ่งของ การจัดทำเครื่องหมายภาชนะที่ใช้บรรจุสิ่งของ การจัดเก็บและการจัดแยกสิ่งของ การบรรทุกการขนส่งและการขนถ่ายสิ่งของ และเอกสารกำกับการขนส่งสิ่งของ ที่อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้

                3. กำหนดหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติของเจ้าของหรือผู้ครอบครองท่าเทียบเรือที่ใช้บรรทุกหรือขนถ่ายสิ่งของที่อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ และหน้าที่นายเรือหรือผู้ควบคุมเรือกรณีสิ่งของที่อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้มีการตกหล่นหรือรั่วไหลจากเรือ

                4. กำหนดให้อธิบดีกรมเจ้าท่าเป็นผู้ประกาศกำหนดรายละเอียดวิธีการและคู่มือเพื่อปฏิบัติตามกฎกระทรวง

4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทแรงงานทางทะเล    การปิดงาน การนัดหยุดงาน และการกระทำอันไม่เป็นธรรม พ.ศ. ....

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทแรงงานทางทะเล การปิดงาน การนัดหยุดงาน และการกระทำอันไม่เป็นธรรม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานศาลยุติธรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

              รง. เสนอว่า พระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายกำหนดมาตรฐานการทำงานของลูกจ้างและคนประจำเรือ เพื่อคุ้มครองแรงงานทางทะเลอันจะเป็นการรับรองว่าแรงงานทางทะเลจะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมตามมาตรฐานสากลตามอนุสัญญาว่าด้วยแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2549 (Maritime Labour Convention, 2006) ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) ประกอบกับมาตรา 5 วรรคหนึ่ง และมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทแรงงานทางทะเล การปิดงาน การนัดหยุดงาน และการกระทำอันไม่เป็นธรรมที่เกี่ยวข้องสำหรับคนประจำเรือและเจ้าของเรือ รง. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทแรงงานทางทะเล การปิดงาน การนัดหยุดงาน และการกระทำอันไม่เป็นธรรม พ.ศ. .... เพื่อเป็นการส่งเสริมเสรีภาพในการรวมตัวของคนประจำเรือและเจ้าของเรือ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานหน่วยงานระหว่างประเทศ

จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทแรงงานทางทะเล การปิดงาน การนัดหยุดงาน และการกระทำอันไม่เป็นธรรม พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ

              สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง

                1. กำหนดบทนิยาม คำว่า “ข้อพิพาทแรงงานทางทะเล” “การปิดงาน” “การนัดหยุดงาน” และ “คณะกรรมการ”

                2. กำหนดหลักเกณฑ์การทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างฝ่ายคนประจำเรือกับฝ่ายเจ้าของเรือ กรณีเจรจากันแล้วแต่ตกลงกันไม่ได้ให้ถือว่ามีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้น ฝ่ายแจ้งข้อเรียกร้องอาจดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้

                        (1) ตกลงกับฝ่ายรับข้อเรียกร้องให้มีการไกล่เกลี่ยโดยฝ่ายแจ้งข้อเรียกร้อง

ทำเป็นหนังสือหรือวิธีการอื่นใดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการไกล่เกลี่ย

                        (2) ตกลงกันนำข้อพิพาทแรงงานทางทะเลที่ตกลงกันไม่ได้ไปเจรจาตกลงกันเอง

                        (3) ตกลงกันให้มีบุคคลหรือคณะบุคคลเพื่อชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน

โดยสมัครใจ

                        (4) ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานทางทะเลเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด

                        (5) ปิดงานหรือนัดหยุดงาน เมื่อเป็นข้อพิพาทแรงงานที่พนักงานเจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ยแล้ว ตกลงกันไม่ได้ หรือเป็นข้อพิพาทแรงงานไม่อยู่ระหว่างการไกล่เกลี่ยของพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือไม่อยู่ระหว่างการชี้ขาดของบุคคล คณะบุคคล หรือคณะกรรมการแรงงานทางทะเล

                3. กำหนดให้เจ้าของเรืออาจปิดงานหรือคนประจำเรืออาจนัดหยุดงานได้เมื่อมีการแจ้งข้อเรียกร้องต่ออีกฝ่ายตามประกาศกระทรวงแรงงานฯ หรือเมื่อฝ่ายซึ่งมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง หรือไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาด ไม่อยู่ระหว่างการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงาน กรณีที่จะปิดงานหรือนัดหยุดงานต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานเจ้าหน้าที่และอีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 48 ชั่วโมง ก่อนการปิดงานหรือนัดหยุดงาน โดยนับเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่และอีกฝ่ายได้รับแจ้ง

                4. กำหนดให้กรณีที่ถือว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ซึ่งห้ามเจ้าของเรือกระทำต่อคนประจำเรือ เช่น การเลิกจ้างหรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้คนประจำเรือไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไปได้เพราะเหตุที่คนประจำเรือร่วมกันจัดตั้งองค์กรเอกชนฝ่ายคนประจำเรือ เป็นต้น

                5. กำหนดให้คนประจำเรือผู้เสียหายอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานทางทะเลเพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดและออกคำสั่งภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องคนประจำเรือผู้เสียหายหรือเจ้าของเรือผู้ถูกกล่าวหาหากไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของคณะกรรมการฯ มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลได้ภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับทราบคำสั่ง กรณีที่เจ้าของเรือผู้ถูกกล่าวหาเป็นฝ่ายนำคดีไปสู่ศาลต้องวางเงินต่อศาลแรงงานโดยครบถ้วนตามคำสั่งฯ จึงจะฟ้องคดีได้

 
5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

                ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาภูมิสถาปัตยกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้น และสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิเห็นชอบด้วยแล้ว

                สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา

                กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาภูมิสถาปัตยกรรมศาสตร์

6. เรื่อง การออกกฎกระทรวงเพื่อยกเลิกกฎกระทรวงเกี่ยวกับการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และกฎกระทรวงเพื่อรองรับการควบกิจการของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการยกเลิกกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทซึ่งเกิดจากการควบบริษัทหลักทรัพย์ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้

                ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงรวม 2 ฉบับ ที่กระทรวงการคลังเสนอ เป็นการยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รวม 7 ฉบับ ที่ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป และได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทที่เกิดจากการควบบริษัทหลักทรัพย์ให้ดำเนินการยื่นคำขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ล่วงหน้าได้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบันและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ในการควบกิจการและดำเนินการกิจการได้อย่างต่อเนื่อง

                สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง

              1. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการยกเลิกกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เป็นการยกเลิกกฎกระทรวง รวม 4 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ได้แก่ 1) กฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2537)ฯ 2) กฎกระทรวง ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2541)ฯ 3) กฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541)ฯ และ 4) กฎกระทรวง ฉบับที่ 19 (พ.ศ. 2545)ฯ

                2. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทซึ่งเกิดจากการควบบริษัทหลักทรัพย์ พ.ศ. ....

                        2.1 ยกเลิกกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ สำหรับบริษัทซึ่งเกิดจากการควบบริษัทเข้ากันหรือเข้าซื้อกิจการระหว่างกัน โดยยกเลิกกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับ ได้แก่ 1) กฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2541)ฯ 2) กฎกระทรวง ฉบับที่ 22 (พ.ศ. 2545)ฯ และ 3) กฎกระทรวง ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2550)ฯ

                        2.2 กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทที่เกิดจากการควบบริษัทหลักทรัพย์ให้ดำเนินการยื่นคำขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ล่วงหน้าได้ โดยใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ดังกล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่บริษัทจดทะเบียนควบเข้ากันเป็นบริษัทใหม่มีผลสมบูรณ์

7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด พ.ศ. ....

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้

                สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง

                กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขนส่งก๊าซธรรมชาติด้วยถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด เพื่อให้มีความปลอดภัยในการประกอบกิจการถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด และป้องกันไม่ให้เกิดอัคคีภัยหรืออันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดในปัจจุบัน รายละเอียด ดังนี้

                1. กำหนดให้ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดมีสองแบบ ได้แก่ แบบติดตรึงและแบบยกและเคลื่อนที่ได้ ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นถังเดี่ยวหรือกลุ่มถังก็ได้ ทั้งนี้ ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดที่มีลักษณะเป็นกลุ่มถังแบบติดตรึงจะต้องมีปริมาณความจุรวมของก๊าซธรรมชาติอัดในถังแต่ละกลุ่มไม่เกิน 5,000 ลิตร และกลุ่มถังแบบยกและเคลื่อนที่ได้จะต้องมีปริมาณความจุรวมของก๊าซธรรมชาติอัดในถังแต่ละกลุ่มไม่เกิน 3,000 ลิตร

                2. กำหนดให้การขนส่งก๊าซธรรมชาติทางบกด้วยถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดให้ขนส่งโดยรถขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด รถบรรทุกก๊าซธรรมชาติอัด หรือรถไฟขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงนี้ นอกจากนี้การขนส่งก๊าซธรรมชาติทางน้ำด้วยถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา

                3. กำหนดให้การบรรทุกถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดแบบยกและเคลื่อนที่ได้ต้องจัดให้มีการตรึงไว้กับตัวโครงรถเพื่อป้องกันมิให้เคลื่อนที่หรือล้มระหว่างการขนส่ง ทั้งนี้ห้ามติดตั้งถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดสำหรับรถที่ใช้ในการขนส่งประเภทรถพ่วง

                4. กำหนดให้ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดต้องได้รับการออกแบบหรือผลิตและการทดสอบและตรวจสอบในการออกแบบหรือผลิตตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือมาตรฐาน ISO หรือตามหลักเกณฑ์ใน ADR หรือมาตรฐานอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา

                5. กำหนดให้การติดตั้งถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดต้องดำเนินการดังนี้ มีการยึดถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดติดกับโครงสร้างอย่างมั่นคง แข็งแรง มีการระบายอากาศที่ดี มีการป้องกันการเคลื่อนตัว ระบบท่อก๊าซร่วมต้องมีการป้องกันแรงกระแทกและการฉีกขาด ทั้งนี้ การออกแบบการติดตั้งถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด ระบบท่อก๊าซ และอุปกรณ์ ต้องกระทำโดยวิศวกรซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร

                6. กำหนดให้ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดเมื่อติดตั้งเสร็จแล้วก่อนการใช้งานหรือเมื่อได้รับความเสียหายที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต้องได้รับการทดสอบและตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ใช้ในการออกแบบหรือวิธีการที่ผู้ผลิตกำหนดโดยความเห็นชอบของอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน หรือวิธีการอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ การทดสอบและตรวจสอบดังกล่าวต้องกระทำโดยผู้ทดสอบและตรวจสอบที่มีคุณสมบัติตามกฎกระทรวงว่าด้วยผู้ทดสอบและตรวจสอบ

                7. กำหนดให้การรับ การจ่าย และการถ่ายเทก๊าซธรรมชาติอัด และการขับรถขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด รถบรรทุกก๊าซธรรมชาติอัด และรถไฟขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดต้องกระทำโดยผู้ปฏิบัติงานที่ผ่านการฝึกอบรมตามกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติและการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง

                8. กำหนดให้การขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดผู้ประกอบกิจการควบคุมต้องจัดให้มีเครื่องดับเพลิงและมีมาตรการป้องกันและระงับอัคคีภัย ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา

                9. กำหนดให้ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแก่รถขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด รถบรรทุกก๊าซธรรมชาติอัด หรือรถไฟขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด หากมีการทดสอบและตรวจสอบแล้วพบว่าถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด ระบบท่อก๊าซและอุปกรณ์ไม่ได้รับความเสียหายและไม่อาจก่อให้เกิดอันตราย ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด ระบบท่อก๊าซและอุปกรณ์ดังกล่าวไม่ต้องได้รับการทดสอบและตรวจสอบ แต่ถ้ามีการถอดท่อก๊าซหรืออุปกรณ์ออกจากถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดแล้วนำกลับเข้าไปติดตั้งใหม่ ระบบท่อก๊าซและอุปกรณ์ดังกล่าวจะต้องได้รับการตรวจสอบการรั่วซึมอย่างน้อยหนึ่งจุดหนึ่งเท่าของความดันใช้งานสูงสุดของระบบท่อก๊าซและต้องไม่มีการรั่วซึม

                10. กำหนดให้ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุและทำให้ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด ระบบท่อก๊าซ และอุปกรณ์ชำรุดเสียหายจนเป็นผลให้ก๊าซธรรมชาติรั่วไหลหรือเกิดเหตุเพลิงไหม้ ให้ผู้ประกอบกิจการควบคุมแจ้งต่ออธิบดีกรมธุรกิจพลังงานหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมธุรกิจพลังงานมอบหมายโดยพลัน และรายงานการเกิดอุบัติเหตุเป็นลายลักษณ์อักษรภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับจากเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ

                11. กำหนดให้ในกรณีที่รถขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด รถบรรทุกก๊าซธรรมชาติอัดหรือรถไฟขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดให้ทำการระบายก๊าซธรรมชาติสู่บรรยากาศ โดยกรณีที่เป็นพื้นที่โล่งซึ่งอากาศถ่ายเทได้สะดวกให้ปล่อยก๊าซธรรมชาติสู่บรรยากาศได้ โดยอาจปล่อยก๊าซไนโตรเจนเพื่อเจือจางควบคู่ไปกับการปล่อยก๊าซธรรมชาตินั้น แต่ในกรณีที่เป็นพื้นที่ชุมชนหรือใกล้แหล่งที่อาจเกิดประกายไฟ ให้ปล่อยก๊าซธรรมชาติสู่บรรยากาศได้โดยต้องปล่อยก๊าซไนโตรเจนหรือสารอื่นเพื่อเจือจางควบคู่ตลอดเวลา

                12. กำหนดให้ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุและกรณีที่มีความจำเป็นต้องถ่ายเทก๊าซธรรมชาติให้ถ่ายเทก๊าซธรรมชาติจากถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดดังกล่าวไปยังถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดอื่นที่ได้รับอนุญาต โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการถ่ายเทก๊าซธรรมชาติเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่กำหนดไว้ในคู่มือวิธีปฏิบัติกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินสำหรับถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด

                13. กำหนดให้ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการควบคุมประสงค์จะเลิกใช้งานถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด ผู้ประกอบกิจการควบคุมต้องแจ้งยกเลิกการใช้งานถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดต่ออธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน โดยจะต้องมีการรับรองจากผู้ทดสอบและตรวจสอบ ซึ่งมีคุณสมบัติตามกฎกระทรวงว่าด้วยผู้ทดสอบและตรวจสอบว่าไม่มีก๊าซธรรมชาติค้างอยู่ในถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดดังกล่าว


เศรษฐกิจ สังคม

8. เรื่อง ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามใช้ประโยชน์ป่าชายเลน แผนงานก่อสร้างสถานีจ่ายน้ำนาทอน (แห่งใหม่) พร้อมวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำพื้นที่ตำบลนาทอน ตำบลทุ่งบุหลัง และตำบลขอนคลาน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามใช้ประโยชน์ป่าชายเลน ในการดำเนินการแผนงานก่อสร้างสถานีจ่ายน้ำนาทอน (แห่งใหม่) พร้อมวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำพื้นที่ตำบลนาทอน ตำบลทุ่งบุหลัง และตำบลขอนคลาน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ในพื้นที่ป่าชายเลนในตำบลนาทอน ตำบลทุ่งบุหลัง และตำบลขอนคลาน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล เนื้อที่ 3 ไร่ 48 ตารางวา (3.12 ไร่) ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

                มท. รายงานว่า

                1. คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืนระดับอำเภอได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2561 โดยที่ประชุมได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำที่เกี่ยวข้องกับการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ซึ่งเป็นปัญหาที่อำเภอทุ่งหว้าไม่สามารถแก้ไขได้ จึงขอให้ กปภ. ขยายเขตจำหน่ายน้ำไปยังตำบลทุ่งบุหลัง เนื่องจากประชาชนมีความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในช่วงฤดูแล้งมากที่สุด โดยพื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถขุดเจาะบ่อบาดาลได้ และไม่สามารถนำน้ำผิวดินมาใช้ประโยชน์ได้เนื่องจากดินมีสภาพเป็นดินเปรี้ยวและดินเค็ม โดยอำเภอทุ่งหว้าเห็นควรให้ กปภ. วางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำของ กปภ.ไปยัง 3 ตำบล ของอำเภอทุ่งหว้า ได้แก่ ตำบลนาทอน ตำบลทุ่งบุหลังและตำบลขอนคลานด้วย นอกจากนี้การดำเนินการดั่งกล่าวจัดทำขึ้นเพื่อรองรับกิจกรรมต่างๆ ที่จะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศให้พื้นที่อำเภอทุ่งหว้าเป็นอำเภอหนึ่งในแหล่งอุทยานธรณีโลก (Satun UNESCO Global Geopark) แห่งแรกของประเทศไทย และเป็นแหล่งที่ 5 ของอาเซียน

                2. กปภ. ได้จัดทำแผนงานก่อสร้างสถานีจ่ายน้ำนาทอน (แห่งใหม่) พร้อมวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำในพื้นที่ตำบลนาทอน ตำบลทุ่งบุหลัง และตำบลขอนคลาน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของ กปภ. สาขาละงู โดยมีวงเงินในการดำเนินการ 83.38 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) และได้ขอให้สถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 37 [ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 26 (ทุ่งหว้า สตูล) ในปัจจุบัน] ตรวจสอบพื้นที่เพื่อการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำและขั้นตอนการขออนุญาตใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าชายเลน โดยพบว่า แผนงานฯ มีการวางท่อตามแนวเขตทางในพื้นที่ 3 ตำบลข้างต้น ระยะทางประมาณ 45.80กิโลเมตร คิดเป็นเนื้อที่ 22 ไร่ 1 งาน 63.80 ตารางวา ผ่านพื้นที่ป่าชายเลนเนื้อที่ 3 ไร่ 48 ตารางวา (3.12 ไร่) โดยมีรายละเอียด ดังนี้

สรุป มติ ครม. 9 มีนาคม 2564

ทั้งนี้ จังหวัดสตูลแจ้งว่า จากการจัดทำประชาคมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ทั้ง 3 ตำบล เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 พบว่า ประชาชนในพื้นที่ไม่ขัดข้องที่จะดำเนินโครงการดังกล่าวและขอให้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

                3. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งพิจารณาแล้ว เห็นควรให้การสนับสนุนและอนุญาตให้ กปภ. เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนตามแผนงานก่อสร้างสถานีจ่ายน้ำนาทอน (แห่งใหม่) พร้อมวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำในพื้นที่ 3 ตำบล อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล เนื้อที่ 3 ไร่ 48 ตารางวา (3.12 ไร่) โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการ ดังนี้

                        3.1 ให้เสนอเรื่องขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี (วันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543) ที่ห้ามใช้ประโยชน์ป่าชายเลน และดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2556 ที่ให้จัดสรรงบประมาณให้กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม ไม่น้อยกว่า 20 เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ ตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. 2556 อย่างเคร่งครัด

                        3.2 เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยกเว้นแล้วจึงเสนอเรื่องต่อกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อขออนุญาตทำประโชยน์ในเขตป่าชายเลนต่อไป

 

9. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,372.41 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ (จำนวน 5 จังหวัด) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (งบกลางฯ) วงเงิน 1,372.41 ล้านบาท ประกอบด้วย กรมทางหลวง (ทล.) จำนวน 985.32 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) จำนวน 387.09 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ (จำนวน 5 จังหวัด) ของ ทล. และ ทช. ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

                คค. รายงานว่า

                1. ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน - 18 ธันวาคม 2563 เกิดเหตุอุทกภัยเนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและพื้นที่ภาคใต้ ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ภาคใต้ 5 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส พัทลุง และสุราษฎร์ธานี ส่งผลให้ทางหลวงแผ่นดินและทางหลวงชนบทได้รับความเสียหาย สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนผู้ใช้เส้นทาง ส่งผลกระทบต่อการคมนาคมขนส่ง และระบบโลจิสติกส์ ซึ่ง ทล. และ ทช. ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยและซ่อมแซมเส้นทางเพื่อให้การจราจรผ่านได้ในระยะเร่งด่วนแล้ว

                2. ทล. และ ทช. เสนอขอรับการจัดสรรงบกลางฯ วงเงินรวมทั้งสิ้น 1,372.41 ล้านบาท เพื่อซ่อมแซม/บูรณะทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบท และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ จำนวน 5 จังหวัดข้างต้น ซึ่งถูกประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติของกระทรวงมหาดไทย (มท.) สรุปได้ ดังนี้

สรุป มติ ครม. 9 มีนาคม 2564

หมายเหตุ : * โครงการอยู่ในพื้นที่และนอกพื้นที่ประกาศภัยพิบัติของ มท. ซึ่งสามารถใช้งบประมาณปี พ.ศ. 2564 (ค่าซ่อมฉุกเฉินจากเหตุภัยพิบัติ)/ปรับแผนการปฏิบัติงานฯ ปี 2564 มาดำเนินการต่อไป

                        2.1 งานบูรณะทางหลวงแผ่นดินและโครงสร้างพื้นฐานของ ทล. ภายใต้งบกลางฯ ที่เสนอในครั้งนี้ ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส พัทลุง และสุราษฎร์ธานี มีขอบเขตงานซ่อมแซม/บูรณะ อาทิ งานก่อสร้างและซ่อมสะพาน งานแก้ไขและป้องกันดินสไลด์ งานฟื้นฟูและเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำ รวม 40 รายการ วงเงิน 958.32 ล้านบาท

                        2.2 งานบูรณะทางหลวงชนบทและโครงสร้างพื้นฐานของ ทช. ภายใต้งบกลางฯ ที่เสนอในครั้งนี้ ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช พัทลุง และสุราษฎร์ธานี มีขอบเขตงานซ่อมแซม/บูรณะ อาทิ งานซ่อมแซมถนนและคอสะพานขาด งานก่อสร้างโครงสร้างระบายน้ำ งานป้องกันการกัดเซาะ รวม 49 รายการ วงเงิน 387.09 ล้านบาท

                        2.3 ทั้งนี้ ทล. และ ทช. แจ้งว่ามีความพร้อมในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง หากได้รับการจัดสรรงบประมาณ จะเร่งดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

                3. คค. ได้มีหนังสือถึงสำนักงบประมาณ (สงป.) เพื่อขอรับการจัดสรรงบกลางฯ โดย สงป. ได้นำเรื่องดังกล่าวกราบเรียนนายกรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ ให้ คค. ดำเนินการซ่อมแซม/บูรณะทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบท และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ 5 จังหวัด โดยให้ใช้จ่ายจากงบกลางฯ ตามรายการและกรอบวงเงินตามข้อ 2 และเนื่องจากวงเงินที่เสนอขออนุมัติเกินกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท สงป. จึงขอให้ คค. ดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี ตามนัยข้อ 9 (3) ของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562

10. เรื่อง ขอเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 และโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้

                1. การปรับเพิ่มวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 จำนวน 46,807.35 ล้านบาทโดยขอเพิ่มเติมอีก จำนวน 3,838.92 ล้านบาท เป็น 50,646.27 ล้านบาท จำแนกเป็น

สรุป มติ ครม. 9 มีนาคม 2564

2. การขยายปริมาณข้าวเปลือก วงเงินงบประมาณ และระยะเวลาดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ปริมาณ 1.50 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินงบประมาณ 19,826.76 ล้านบาท เพิ่มเติมอีก 0.32 ล้านตันข้าวเปลือก เป็น 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก และงบประมาณเพิ่มเติมอีก จำนวน 4,504.27 ล้านบาท เป็น 24,331.03 ล้านบาท จำแนกงบประมาณเพิ่มเติมได้ ดังนี้

สรุป มติ ครม. 9 มีนาคม 2564

และขยายระยะเวลาจัดทำสัญญากู้โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564)

                ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ (สงป.) และขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และปีถัด ๆ ไป

                สาระสำคัญของเรื่อง

                พณ. รายงานว่า

                1. คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ในการประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 มีมติ ดังนี้

                        1.1 โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1

                                1.1.1 รับทราบตามที่กรมส่งเสริมการเกษตรรายงานข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 มีจำนวนทั้งสิ้น 4,686,319 ครัวเรือน เนื้อที่ปลูก 62,113,037 ไร่ มากกว่าที่นำเสนอ นบข. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 และคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ซึ่งมีจำนวน 4,576,586 ครัวเรือน เนื้อที่ปลูก 56,063,350 ไร่ (มากกว่าประมาณการเดิม 0.11 ล้านครัวเรือน พื้นที่ปลูก 6.05 ล้านไร่) เนื่องจากข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ระบบทะเบียนเกษตรกรจะปิดระบบบันทึกข้อมูล และระบบบันทึกผลการตรวจสอบข้อมูล สำหรับภาคอื่น ๆ จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2564 และสำหรับภาคใต้จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2564 และยังมีช่วงระยะเวลาสำหรับตรวจสอบความซ้ำซ้อนของแปลงปลูกข้าวทั้งที่ดินที่มีเอกสารสิทธิและไม่มีเอกสารสิทธิ จนได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนในภาคอื่น ๆ จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 และสำหรับภาคใต้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ซึ่งเมื่อตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นแล้วกรมส่งเสริมการเกษตรจึงจะรายงานความคืบหน้าผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในแต่ละงวดให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว เพื่อรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการ และจัดส่งให้ ธ.ก.ส. เพื่อจ่ายเงินชดเชยต่อไป ทั้งนี้ เนื่องจากภาวะฝนแล้งในช่วงต้นฤดูเพาะปลูก ทำให้เกษตรกรเริ่มเพาะปลูกล่าช้า (ในช่วงสิ้นเดือนธันวาคม 2563) กรมส่งเสริมการเกษตรจึงยังไม่สามารถยืนยันตัวเลขเพาะปลูกที่แท้จริงได้

                                1.1.2 รับทราบตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ได้มีมติเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564เห็นชอบตามที่กรมส่งเสริมการเกษตรเสนอให้ขยายระยะเวลาการขึ้นทะเบียนเพาะปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 จากเดิมภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นถึงวันที่ 15 มีนาคม 2564 ของเกษตรกรในพื้นที่อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมขัง ไม่สามารถเพาะปลูกข้าวได้ และคาดการณ์ว่าจะไม่สามารถขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกับกรมส่งเสริมการเกษตรได้ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ตามกรอบระยะเวลาการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2563/64 ของกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 590 ครัวเรือน เนื้อที่ปลูก 7,850 ไร่

                                1.1.3 เห็นชอบการปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563จำนวน 46,807.35 ล้านบาท เพิ่มเติมอีก จำนวน 3,838.92 ล้านบาท เป็น 50,646.27 ล้านบาท

                1.2 โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64

                        1.2.1 รับทราบผลการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 ณ วันที่ 25 มกราคม 2564 ธ.ก.ส. จ่ายสินเชื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 210,488 ราย สินเชื่อจำนวน 10,449.67 ล้านบาท ปริมาณข้าวเปลือกจำนวน 1.04 ล้านตัน คงเหลือวงเงินสินเชื่อจำนวน 4,834.33 ล้านบาท ปริมาณข้าวเปลือกจำนวน 0.46 ล้านตัน และ ธ.ก.ส. สาขาในพื้นที่รายงานข้าวเปลือกรอเข้าร่วมโครงการฯ คงเหลือจำนวนประมาณ 0.78 ล้านตัน (เกินจากจำนวนที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ 0.32 ล้านตัน)

                                1.2.2 เห็นชอบการขยายเป้าหมายโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 จากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563ปริมาณ 1.50 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินงบประมาณ 19,826.76 ล้านบาท เพิ่มเติมอีก 0.32 ล้านตันข้าวเปลือก เป็น 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก และงบประมาณเพิ่มเติมอีก จำนวน 4,504.27 ล้านบาท (แบ่งเป็นวงเงินสินเชื่อ 3,500.50 ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด 1,003.77 ล้านบาท) เป็น 24,331.03 ล้านบาท

                                1.2.3 เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาจัดทำสัญญากู้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564) โดยให้ ธ.ก.ส. ขอจัดสรรวงเงินจากงบประมาณปี 2565 และปีถัด ๆ ไป

                        1.3 มอบหมาย ธ.ก.ส. และ พณ. จัดทำรายละเอียดโครงการฯ ตามข้อ 1.1 และ 1.2 และงบประมาณให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และให้ พณ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ นบข. นำเสนอคณะรัฐมนตรีตามระเบียบต่อไป ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. ทำความตกลงกับ สงป. และขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565และปีถัด ๆ ไป

                        1.4 ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                                1.4.1 มอบหมายสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สงป. กระทรวงการคลัง (กค.) พิจารณาร่วมกับ พณ. กษ. กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมปฏิรูปการขับเคลื่อนภาคการเกษตร เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน ลดภาระงบประมาณรัฐบาลในการช่วยเหลือเกษตรกรต่อไปในอนาคต

                                1.4.2 มอบหมาย กค. ร่วมกับ พณ. และ กษ. พิจารณาภาระงบประมาณการช่วยเหลือเกษตรกร เนื่องจากงบประมาณดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี เพื่อให้การใช้งบประมาณมีความเหมาะสม  มีประสิทธิภาพ ไม่ซ้ำซ้อน และประเมินผลการดำเนินโครงการด้วย

                                1.4.3 มอบหมายฝ่ายเลขานุการ นบข. จัดทำข้อมูลสถานการณ์ข้าวไทยเพิ่มเติม ได้แก่ การบริโภค การค้าและสต๊อกปลายปี เช่นเดียวกับสถานการณ์ข้าวโลกรวมทั้งข้อมูลข้าวตลาดเฉพาะ เช่น ข้าวอินทรีย์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาแนวทางในการเพาะปลูกข้าวที่เหมาะสมตรงตามความต้องการของตลาดและสร้างการรับรู้สถานการณ์ตลาดข้าวให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้รับทราบและขับเคลื่อนการผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

                                1.4.4 มอบหมายกรมส่งเสริมการเกษตร กษ. ติดตามสถานการณ์การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายทุกปี โดยวิเคราะห์ถึงพื้นที่เพาะปลูกข้าวแต่ละชนิด รวมทั้งจัดระบบการตรวจสอบกำกับดูแลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้มีความรัดกุม เพื่อให้การบริหารจัดการงบประมาณมีประสิทธิภาพสูงสุด

                                1.4.5 มอบหมาย พณ. ร่วมกับ กษ. จัดประชุมสัมมนาหน่วยงานในส่วนภูมิภาค เพื่อสร้างการรับรู้การดำเนินนโยบายของรัฐบาลของหน่วยงานราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน รับรู้แนวทางการปฏิบัติงานของรัฐบาล ข้อมูลการดำเนินงานในระดับพื้นที่ที่รัฐบาลต้องการ รวมทั้งประสานความร่วมมือในการทำงานสะท้อนภาพรวมจากพื้นที่ถึงระดับนโยบาย

                                1.4.6 มอบหมาย กษ. พณ. ร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย สมาคมโรงสีข้าวไทย ร่วมกันจัดทำตารางประสานสอดคล้องกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อการดำเนินการ บูรณาการร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ตามยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) การลดพื้นที่เพาะปลูก โดยใช้ความเหมาะสมของพื้นที่ (2) การลดต้นทุนการผลิต (3) การบริหารจัดการแหล่งน้ำให้มีความสัมพันธ์กับ Agri Map และ (4) การตลาดต่างประเทศและในประเทศ

                                1.4.7 มอบหมาย พณ. นำโมเดลเศรษฐกิจ Bio Circular Green (BCG) มาขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้าวไทยด้านผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และบูรณาการการทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและภาคเอกชนในการ บูรณาการการทำงานตั้งแต่การผลิต รวมทั้งการแปรรูปสินค้าข้าวด้วยนวัตกรรมให้ไปสู่ BCG การผลิตที่ยั่งยืน

 

11. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ

              คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) เสนอ ผลการดำเนินการของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) (ศอตช. จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 358/2562 ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2562) โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

                1. คณะกรรมการอำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน 6 คณะ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของ ศอตช. ดังนี้

สรุป มติ ครม. 9 มีนาคม 2564


                2. ศอตช. ได้จัดทำระบบรับเรื่องร้องเรียน ศอตช. ทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่เกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบเป็นการเฉพาะ ซึ่งสามารถติดตามและรายงานผลการดำเนินงานได้ทันทีและตลอดเวลา โดยตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2563 จนถึงวันที่ 18 มกราคม 2564 รับเรื่องร้องเรียนจำนวน 297 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 110 เรื่อง และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 187 เรื่อง

                3. การดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมจำนวน 8 คำสั่ง (ที่ให้เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติหน้าที่เนื่องจากอยู่ระหว่างถูกตรวจสอบการกระทำความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่) จำนวน 400 ราย ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน 300 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 100 ราย

                4. การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 เรื่อง กลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ประกอบด้วย การเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการป้องกันและลดโอกาสการทุจริต การตรวจสอบ และการดำเนินมาตรการทางปกครอง วินัย อาญา

                5. การติดตามผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการ (เดิม) ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการอำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 226/2557 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 จำนวน 3 คณะ ประกอบด้วย (1) คณะรัฐและภาคเอกชนร่วมกันกำหนดบัญชีดำ (Black List) ห้ามทำธุรกรรมกับภาครัฐ สำหรับบริษัทห้างร้าน นิติบุคคล ที่มีสินบนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐและสนับสนุนการทุจริตในภาครัฐ (2) คณะกำหนดความผิดของนิติบุคคลเกี่ยวข้องกับคดีทุจริต ประพฤติมิชอบและผู้ร่วมกระทำความผิด และ (3) คณะกำหนดกลไกประสานขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การปราบปรามการทุจริต

                ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการว่า “ทราบ/ให้มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม/บัญชี Black List ทำให้ชัดเจน ประชาสัมพันธ์เป็นผลงานให้สังคมทราบ”

12. เรื่อง สรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจำเดือนมกราคม 2564

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจำเดือน

มกราคม 2564 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้

                1. สถานการณ์ราคาสินค้าและบริการเดือนมกราคม 2564 ดังนี้

                     ภาพรวม

                    ในเดือนมกราคม 2564 สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ได้มีการปรับปีฐานของดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) และดัชนีราคาผู้ผลิต ซึ่งปกติแล้วจะมีการปรับทุก 4-5 ปี โดยดัชนีราคาผู้บริโภค ปรับเป็นปีฐาน 2562 ซึ่งเป็นปีที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนทั่วประเทศ และยังไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และดัชนีราคาผู้ผลิต ปรับเป็นปีฐาน 2558 ตามตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต (Input-Output) ล่าสุดที่จัดทำโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ทั้งนี้ การปรับปีฐานของดัชนีทั้ง 2 ชุด มีการปรับปรุงที่สำคัญหลายมิติทั้งในเชิงโครงสร้าง ความครอบคลุม และวิธีการจัดทำ อีกทั้งยังคำนึงถึงการเชื่อมโยงและบูรณาการกับเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจของหน่วยงานอื่น เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องชี้วัดเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ

                     อัตราเงินเฟ้อเดือนมกราคม 2564 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 0.34 (YoY) เป็นการหดตัวต่อเนื่องจากร้อยละ 0.27 ในเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสำคัญจากราคาพลังงานที่ยังต่ำกว่าปีก่อน (ลดลงร้อยละ 4.82) การปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ลงอีกเป็น -15.32 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องจนถึงเดือนเมษายน และราคาข้าวสารเจ้าและข้าวสารเหนียวที่ยังลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2563 ตามปริมาณผลผลิตที่กลับเข้าสู่ปกติและไม่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเหมือนปีก่อน ประกอบกับความต้องการของตลาดต่างประเทศยังทรงตัว สำหรับราคาสินค้าและบริการในหมวดอื่นๆ ยังเคลื่อนไหวตามกลไกการตลาดของผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าในบางกลุ่ม โดยเฉพาะ ผักสด และเครื่องประกอบอาหาร ยังปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเกิดอุทกภัยในภาคใต้ และน้ำมันพืชปรับตัวตามราคาผลปาล์มสดที่สูงขึ้นตามความต้องการใช้ในประเทศ ทั้งนี้ เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออกแล้ว เงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 0.21 (YoY)

                     การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังเป็นปัญหาต่อเนื่องของโลก และการระบาดระลอกใหม่ในประเทศในช่วงที่ผ่านมา ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาชะลอตัวอีกครั้ง ส่งผลต่อการใช้จ่ายและการผลิตในเดือนนี้ สอดคล้องกับเครื่องชี้วัดด้านอุปสงค์และอุปทาน ทั้งยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม อัตราการใช้กำลังการผลิต และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม เครื่องชี้วัดสำคัญหลายตัวมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะการส่งออก อัตราการว่างงาน และรายได้เกษตรกร ประกอบกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยที่มีศักยภาพและความสามารถในการบริหารจัดการของบุคลากรสาธารณสุขภาครัฐหลายหน่วย รวมทั้งแนวโน้มการรักษาด้วยวัคซีนเริ่มเห็นผลในหลายประเทศ ทำให้สถานการณ์ในช่วงต่อไปมีโอกาสปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้จ่ายและเงินเฟ้อให้กลับสู่ภาวะปกติได้ในไม่ช้า

                      ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนมกราคม 2564 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงร้อยละ 0.34 (YoY) ตามการลดลงของสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 0.83 จากการลดลงของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้หมวดพาหนะการขนส่งและการสื่อสาร ลดลงร้อยละ 1.86 หมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษาฯ ลดลงร้อยละ 0.40 (ค่าทัศนาจร เครื่องถวายพระ ค่าห้องพักโรงแรม) หมวดเคหสถาน ลดลงร้อยละ 0.31 (ก๊าซหุงต้ม ค่ากระแสไฟฟ้า) หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ลดลงร้อยละ 0.18 (เสื้อยืดสตรี เสื้อยืดบุรุษ) ขณะที่หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล สูงขึ้นร้อยละ 0.23 (ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว โฟมล้างหน้า ค่าแต่งผมสตรี) หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ 0.05 (สุรา เบียร์) สำหรับหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ 0.58 ได้แก่ กลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่และสัตว์น้ำ ร้อยละ 1.34 (เนื้อสุกร ปลาหมึกกล้วย ปลาทับทิม) ผักสด สูงขึ้นร้อยละ 11.19 (พริกสด หัวหอมแดง ผักบุ้ง) เครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้นร้อยละ 3.11 (น้ำมันพืช ซอสหอยนางรม กะทิสำเร็จรูป) อาหารบริโภคในบ้าน และนอกบ้าน สูงขึ้นร้อยละ 0.37 และ 0.74 ตามลำดับ (อาหารเช้า ก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง ไก่ทอด พิซซ่า) ขณะที่ข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ลดลงร้อยละ 5.02 (ข้าวสารเหนียว ข้าวสารเจ้า) ผลไม้สด ลดลงร้อยละ 1.46 (ส้มเขียวหวาน มะม่วง มะละกอสุก) ไข่และผลิตภัณฑ์นม ลดลงร้อยละ 0.07 (นมถั่วเหลือง นมสด นมผง)

                        ดัชนีราคาผู้บริโภค เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2563 สูงขึ้นร้อยละ 0.09 (MoM)

                     ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือนมกราคม  2564 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงร้อยละ 0.6 (YoY) จากเดือนก่อนหน้าที่ลดลงร้อยละ 0.5 ตามการลดลงของหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมือง และหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยังคงหดตัว สอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังการผลิต และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลง ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังเป็นแรงกดดันที่สำคัญต่ออุปสงค์และอุปทาน โดยหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 0.5 ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม (น้ำมันดีเซล น้ำมันแก๊สโซฮอล์) กลุ่มไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ (ไม้ยางพารา) กลุ่มสิ่งทอ (สิ่งทอจากใยสังเคราะห์) กลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้า (สายเคเบิล) กลุ่มเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย กลุ่มผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ และหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมือง ลดลงร้อยละ 18.2 ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียมดิบ และก๊าซธรรมชาติ ขณะที่สินค้าในหมวดผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมและการประมงที่ยังขยายตัวได้ดี โดยสูงขึ้นร้อยละ 3.6 ตามความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า พืชผัก (ต้นหอม ผักชี หน่อไม้ฝรั่ง) ผลปาล์มสด ยางพารา กลุ่มสัตว์ (สุกรมีชีวิต ไข่ไก่ ไข่เป็ด) และกลุ่มผลิตภัณฑ์จากการประมง (ปลาทูสด ปลาทรายแดง ปลาสีกุน)

                        ดัชนีราคาผู้ผลิต เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2563 สูงขึ้นร้อยละ 0.7 (MoM)

                    ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง เดือนมกราคม 2564 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน สูงขึ้นร้อยละ 3.7 (YoY) และสูงสุดในรอบ 2 ปี 6 เดือน จากการสูงขึ้นของสินค้าในหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ที่สูงขึ้นร้อยละ 19.1 (เหล็กเส้นกลมผิวเรียบ-ผิวข้ออ้อย เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ) ตามความต้องการและราคาในตลาดโลกเป็นสำคัญ ประกอบกับมีการปิดเตาถลุงเหล็กหลายแห่งทั้งในยุโรปและญี่ปุ่นชั่วคราว สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายเหล็ก และดัชนีการจำหน่ายวัสดุก่อสร้างในประเทศ ที่ปรับตัวสูงขึ้น หมวดวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ สูงขึ้นร้อยละ 1.1 (ทรายละ

  สาระสำคัญของเรื่อง

              คณะกรรมการ ป.ป.ช. รายงานว่า

                1. การประเมิน ITA เป็นแนวนโยบายที่สำคัญในการป้องกันการทุจริตที่บังคับใช้กับหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ และเป็นกลไกการป้องกันการทุจริตเชิงรุกได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งได้ถูกกำหนดเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนแผนงานระดับประเทศ เช่น แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ได้นำผลการประเมิน ITA ไปกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของแผนแม่บทฯ โดยในระยะแรก (พ.ศ. 2561-2565) กำหนดค่าเป้าหมายให้หน่วยงานภาครัฐมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์ (85 คะแนนขึ้นไป) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 (ตั้งเป้าหมายปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ไว้ที่ร้อยละ 50)

                2. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 8,303 แห่งทั่วประเทศ เข้าร่วมการประเมิน ITA ผ่านระบบ ITAS ที่เว็บไซต์ https://itas.nacc.go.th ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 โดยครอบคลุมหน่วยงานภาครัฐทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และองค์กรอิสระ ซึ่งเป็นการประเมินด้านธรรมาภิบาลและการบริหารจัดการภาครัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในปัจจุบัน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ จำนวน 1,301,665 ราย เพิ่มขึ้นมากกว่าปีงบประมาณที่ผ่านมาถึงร้อยละ 29.36 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการตื่นตัวต่อประเด็นการต่อต้านการทุจริตมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีความกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นต่อการปฏิบัติงานและการให้บริการภาครัฐเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงพัฒนาให้มีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การประเมิน ITA มีการเก็บข้อมูลจาก 3 ส่วน ดังนี้

สรุป มติ ครม. 9 มีนาคม 2564


                3. ผลการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมของประเทศ 67.90 คะแนน อยู่ในระดับปานกลางที่ระดับผลการประเมิน ระดับ C สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 1.15 คะแนน มีจำนวนหน่วยงานภาครัฐที่มีผลการประเมิน ITA ผ่านค่าเป้าหมายตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ร้อยละ 13.19 หรือ 1,095 หน่วยงาน จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่ร้อยละ 50 (ประมาณ 4,152 หน่วยงาน)

                4. ประเภทหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์ซึ่งต้องมีระดับผลการประเมิน 85 คะแนนขึ้นไป หรือตั้งแต่ระดับ A-AA พบว่า หน่วยงานส่วนใหญ่ในกลุ่มที่ได้คะแนนระดับ A-AA คือ หน่วยงานประเภท อปท. รองลงมาคือ ประเภทหน่วยงานส่วนกลาง โดย อปท. เป็นหน่วยงานกลุ่มใหญ่ที่มีสัดส่วนหรือจำนวนของหน่วยงานในการเข้าร่วมการประเมิน ITA มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 94.57 ของหน่วยงานที่เข้ารับการประเมิน ITA ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ยังมี อปท. จำนวนมากที่ยังไม่ผ่านค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้

                ทั้งนี้ หากจำแนกตามประเภทของหน่วยงานภาครัฐแล้วพบว่ามีหน่วยงานภาครัฐจำนวน 10 ประเภท ที่ผ่านค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ได้แก่ หน่วยงานในสังกัดรัฐสภา องค์กรศาล องค์กรอิสระ สถาบันอุดมศึกษา รัฐวิสาหกิจ กรมหรือเทียบเท่า องค์การมหาชน หน่วยงานของรัฐอื่น ๆ จังหวัด (ส่วนราชการส่วนภูมิภาคระดับจังหวัด) และ อปท. รูปแบบพิเศษ ส่วนอีก 7 ประเภท ได้แก่ กองทุนเทศบาลนคร องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์กรอัยการ เทศบาลเมือง องค์การบริหารส่วนตำบล และเทศบาลตำบล ยังไม่ผ่านค่าเป้าหมายที่ร้อยละ 50 ของจำนวนหน่วยงานทั้งหมดในแต่ละประเภท

                5. ผลการประเมิน ITA ในเชิงพื้นที่ ซึ่งประกอบด้วย ส่วนราชการ ส่วนภูมิภาคระดับจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล พบว่า จังหวัดนครสวรรค์ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 82.52 และเป็นจังหวัดเดียวที่ผ่านค่าเป้าหมายตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นจากผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการภายในจังหวัดให้ความสำคัญในการกำกับติดตาม ดูแล ให้คำปรึกษา และบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องตลอดปีงบประมาณ ขณะเดียวกันได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เข้าร่วมการประเมินทั้งส่วนราชการ ส่วนภูมิภาคและ อปท. ภายในจังหวัดเป็นอย่างดี ส่งผลให้กระบวนการประเมินในภาพรวมของจังหวัดนครสวรรค์ดำเนินการได้อย่างครบถ้วนและมีคุณภาพ

                6. ผลการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในภาพรวมระดับประเทศจำแนกตามตัวชี้วัด พบว่า ตัวชี้วัดที่ฉุดรั้งให้ผลการประเมิน ITA ในภาพรวมระดับประเทศไม่สามารถบรรลุเป้าหมายตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ เกิดจากหน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะผ่านทางเว็บไซต์ของหน่วยงานให้ครบถ้วนตามมาตรฐานเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐและหลักเกณฑ์การประเมินที่กำหนด

                7. กลยุทธ์การพัฒนาหน่วยงานภาครัฐเพื่อยกระดับผลการประเมิน ITA ให้สามารถบรรลุเป้าหมายตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จึงต้องมุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐและการดำเนินงานป้องกันการทุจริตตามตัวชี้วัดที่ 9 และ 10 โดยเน้นหนักหรือเฉพาะเจาะจงที่กลุ่มหน่วยงานภาครัฐในเชิงพื้นที่ ประกอบด้วย จังหวัด (ส่วนราชการส่วนภูมิภาค) และ อปท. ซึ่งมีหน่วยงานที่มีผลการประเมินอยู่ในช่วงระดับ C-F คิดเป็นประมาณร้อยละ 72.43 หรือจำนวน 5,743 แห่ง จากส่วนราชการส่วนภูมิภาคและ อปท. ทั้งหมด 7,928 แห่ง

                8. คณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ และคณะอนุกรรมการกำกับและพัฒนาการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ มีข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการยกระดับการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะและการป้องกันการทุจริตอย่างเร่งด่วน เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐสามารถบรรลุเป้าหมายตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ได้ทันตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายรวม 6 ข้อ

17. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ครั้งที่ 1/2564

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ครั้งที่ 1/2564 ซึ่งเป็นการดำเนินงานของ กนศ. ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีตามนัยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) ประธานกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศเสนอ

               สาระสำคัญ

                กนศ. ได้มีการประชุมครั้งที่  1/2564 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อพิจารณาเรื่องการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 โดยมีผลการประชุมที่สำคัญ ดังนี้

                1. กนศ. ได้รับทราบมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 และกรอบระยะเวลาที่จะต้องดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้แล้วเสร็จ

                2. เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความละเอียด รอบคอบ และรัดกุม กนศ. จึงมีมติเห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง CPTPP ราย ประเด็น จำนวน 8 คณะ ซึ่งภายหลังการประชุม กนศ.  ฝ่ายเลขานุการได้ประสานรายละเอียดกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทั้ง 8 คณะเรียบร้อยแล้ว  ดังนี้

                        2.1 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้านเกษตรและพันธุ์พืช มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน และอธิบดีกรมวิชาการเกษตรเป็นเลขานุการ

                        2.2 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้านการแพทย์และสาธารณสุข มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน และผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข เป็นเลขานุการ

                        2.3 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน และอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นเลขานุการ

                        2.4 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้านการระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐ และเอกชนกับรัฐ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธาน อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เป็นเลขานุการ และอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เป็นเลขานุการร่วม

                        2.5 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน และผู้แทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นเลขานุการ

                        2.6 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้านการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐและรัฐวิสาหกิจ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นเลขานุการ

                        2.7 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้านแรงงาน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธาน และอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นเลขานุการ

                        2.8 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง CPTPP ด้านการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน และอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นเลขานุการ

                ทั้งนี้ กนศ. ขอให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ ทุกคณะเร่งจัดทำกรอบการทำงานเพื่อติดตามการจัดทำแผนงาน การดำเนินการเพื่อปรับตัวของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยหารือร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่อง รวมทั้งภาคส่วนต่าง ๆ อาทิ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม รวบรวมข้อมูลและจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความพร้อมและเงื่อนเวลาในการขอเจรจาเข้าร่วมความตกลง CPTPP หรือความไม่พร้อมของไทยให้แล้วเสร็จ และเสนอต่อที่ประชุม กนศ. ครั้งต่อไปเพื่อพิจารณารายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป

                3. กนศ. จะรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีฯ ต่อคณะรัฐมนตรี ภายในกรอบระยะเวลา 90 วัน ตามที่คณะรัฐมนตรีได้กำหนดไว้

18. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 7/2564

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คกง.) ในคราวประชุมครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ดังนี้

                1. อนุมัติโครงการและมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ ดังต่อไปนี้

สรุป มติ ครม. 9 มีนาคม 2564

            ทั้งนี้ ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นและข้อสังเกตของ คกง. ไปพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการฯ ตามขั้นตอนต่อไป

              2. มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ ตามข้อง 1.1 - 1.3 ดำเนินการดังนี้

                        2.1 จัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายสัปดาห์ เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้เพื่อใช้จ่ายโครงการตามแผนการใช้จ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐ

                        2.2 รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการ และการใช้จ่ายเงินกู้รวมถึงปัญหาอุปสรรค โดยจัดส่งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลัง (กค.) กำหนด ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป

                        2.3 ประสานกับ กค. ในการรายงานขีดความสามารถในการชำระคืนหนี้เงินกู้ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 6 แห่งพระราชกำหนดกู้เงินฯ ด้วย

                3. อนุมัติการปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ ดังต่อไปนี้

สรุป มติ ครม. 9 มีนาคม 2564

        พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งปรับปรุงสาระสำคัญของโครงการฯ ในระบบ eMENSCR ให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว

__________________________

1Emergency Operations Center (EOC)

                สาระสำคัญของเรื่อง

              คกง. รายงานว่า ที่ประชุม คกง. ในคราวประชุมครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 มีมติ ดังนี้

                1. โครงการพัฒนาระบบสื่อสารสั่งการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขระดับกระทรวงและระดับเขตสุขภาพเป็น Smart EOC เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคโควิด 19 ของ สป.สธ.

                     1.1 สาระสำคัญของโครงการ

สรุป มติ ครม. 9 มีนาคม 2564

1.2 มติ คกง.

                        เห็นชอบโครงการฯ กรอบวงเงิน 89.91 ล้านบาท (ปรับลด 0.06 ล้านบาท จากข้อเสนอของ สธ. จำนวน 89.97 ล้านบาท) โดยให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 1.5 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดกู้เงินฯ และมอบหมายให้ สป.สธ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ และให้ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จและเบิกจ่ายเงินภายในกำหนดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 อย่างเคร่งครัด

                2. โครงการภายใต้แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ 1 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดกู้เงินฯ ที่ทบทวนตามผลการพิจารณาของ คกง. ครั้งที่ 10/63 และครั้งที่ 32/63 จำนวน 20 โครงการ

                      2.1 คกง. มีหลักเกณฑ์ที่ใช้วิเคราะห์และพิจารณาโครงการ โดย (1) ต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับครุภัณฑ์ที่เคยได้รับการสนับสนุนไปแล้ว และสามารถดำเนินการจัดซื้อจัดหาได้ทันภายในปี 2564 (2) เป็นไปเพื่อการจัดบริการโรคโควิด 19 โดยตรง เพื่อการรักษาพยาบาลและช่วยชีวิตผู้ป่วย/ตรวจวินิจฉัย/ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ และ (3) ไม่สนับสนุนรายการครุภัณฑ์ที่มุ่งเน้นการจัดการเรียนการสอน การวิจัยหรือครุภัณฑ์สำนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับโควิด ทั้งนี้ โครงการฯ ที่ได้รับความเห็นชอบ ประกอบด้วย

สรุป มติ ครม. 9 มีนาคม 2564

  2.2 มติ คกง.

                      เห็นชอบโครงการฯ จำนวน 20 โครงการ กรอบวงเงินไม่เกิน 665.09 ล้านบาท (ปรับลด 1,292.35 ล้านบาท จากข้อเสนอของ สธ. จำนวน 1,957.44 ล้านบาท) โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 1.2 และ 1.4 พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานตามที่ สธ. เสนอ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ และให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งยืนยันว่าจะสามารถดำเนินการและเบิกจ่ายได้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564

                3. โครงการภายใต้แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ 1 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดกู้เงินฯ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย ตามมติ คกง. ครั้งที่ 10/63 จำนวน 3 โครงการ

                     3.1 คกง. มีหลักเกณฑ์ที่ใช้วิเคราะห์และกลั่นกรองโครงการฯ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย โดย (1) เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน และรักษาโรคโควิด 19 (2) สามารถก่อหนี้ผูกพันภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชกำหนดกู้เงินฯ (3) ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งงบประมาณอื่นได้นอกเหนือจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดกู้เงินฯ (4) เป็นโครงการที่มีความพร้อมในการดำเนินการและมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จภายในระยะเวลาที่เหมาะสม และ (5) มีความเห็นประกอบของ อว. และ สธ. ด้วยแล้ว ทั้งนี้ โครงการฯ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยที่ได้รับความเห็นชอบ ประกอบด้วย

สรุป มติ ครม. 9 มีนาคม 2564

 3.2 มติ คกง.

                     เห็นชอบโครงการฯ ด้านวิจัย จำนวน 3 โครงการ กรอบวงเงินไม่เกิน 44.58 ล้านบาท (ปรับลด 923.14 ล้านบาท จากข้อเสนอของ สธ. จำนวน 967.72 ล้านบาท) โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 1.2 และแผนงานที่ 1.3 พร้อมทั้งมอบหมายให้ สวทช. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ 1 และให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ 2-3 และเห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งประสาน สธ. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ในการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องมือแพทย์ที่ผลิตได้จากการศึกษาวิจัยภายในประเทศ เพื่อให้เกิดการต่อยอดงานวิจัยไปสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

                4. อนุมัติการปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ ดังต่อไปนี้

                        4.1 โครงการพัฒนาศักยภาพระบบบริการสุขภาพ รองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ของหน่วยงานส่วนภูมิภาค สป.สธ. (รอบที่ 1) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ตามที่ สป.สธ. เสนอ โดยเปลี่ยนแปลงชื่อหน่วยงานและจำนวนรายการก่อสร้างปรับปรุงหอพักผู้ป่วยเพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด 19 ชนิดมีระบบกรองอากาศ ดังนี้

สรุป มติ ครม. 9 มีนาคม 2564


และรับทราบการแก้ไขปรับปรุงรายละเอียดที่ไม่ใช่สาระสำคัญของโครงการฯ โดยส่วนใหญ่เป็นการปรับปรุงข้อมูลหน่วยงานและรายการคำขอที่คลาดเคลื่อน รวม 147 รายการ

                     4.2 โครงการแปลงใหญ่กระบือชลบุรีครบวงจร ตามที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก อว. เสนอ โดยเป็นการขยายระยะเวลาสิ้นสุดของโครงการฯ จากเดือนตุลาคม 2564 เป็นเดือนธันวาคม 2564 โดยเป็นการขยายระยะเวลาของสัญญาการจ้างงานเท่านั้น ซึ่งไม่กระทบระยะเวลาการดำเนินโครงการ คือ 12 เดือน

                        4.3 โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ด้านสัตว์ป่าตามที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ทส. เสนอขอเปลี่ยนแปลงพื้นที่ก่อสร้างของโครงการฯ ในจังหวัดสุรินทร์ จาก “สำนักงานเขต” ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าทึบ เป็น “ฐานปฏิบัติการพิทักษ์ป่าผามะนาว” ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งและมีประสิทธิภาพที่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว

 

19. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2564

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2564 เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 ที่ได้พิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกำหนดฯ) การรายงานผลการดำเนินงานของหน่วยงานและจัดทำข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนของพระราชกำหนดฯ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 พ.ศ. 2563 (ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ) และมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้

                1. รับทราบการมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปรับปรุงหรือทบทวนโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ดังนี้ (1) ยกเลิกเงินสนับสนุนจากภาครัฐในส่วน E-voucher หรือกำหนดมูลค่า E-voucher ให้มีความเชื่อมโยงกับมูลค่าห้องพัก อาทิ ร้อยละ 40 ของราคาห้องพัก (2) กำหนดแนวทางการป้องกันการทุจริตที่จะช่วยให้เกิดความมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยในกรณีที่จำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบต่าง ๆ อาทิ ระบบสแกนใบหน้า จำเป็นต้องหารือและเตรียมความพร้อมกับธนาคารกรุงไทยให้ชัดเจนทั้งในส่วนของกรอบระยะเวลาและแผนผังแสดงวิธีการใช้สิทธิ์โครงการ (Customer flowchart) เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนที่จะใช้สิทธิ์โครงการฯ ให้มีความเข้าใจและป้องกันความสับสน และ (3) ยกเลิกเงื่อนไขที่มอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินตามโครงการและดำเนินการเบิกจ่ายเงินโดยวิธีเบิกจ่ายแทนกัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างมีเอกภาพ และช่วยให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มีความคล่องตัวในการดำเนินโครงการฯ เพิ่มขึ้น

                2. รับทราบในกรณีที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พิจารณาแล้วว่าการดำเนินการปรับปรุงหรือทบทวนโครงการเราเที่ยวด้วยกันโครงการฯ ตามข้อ 1. อาจจะไม่สามารถดำเนินการป้องกันการทุจริตของโครงการฯ ได้ เห็นควรมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดำเนินโครงการฯ เฉพาะในส่วนการเลื่อนการใช้สิทธิ์ที่พักและค่าโดยสารสำหรับผู้ที่ได้สิทธิ์โครงการฯ แล้วภายในวันที่ 30 เมษายน 2564 และเร่งดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำการทุจริตอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งพิจารณาจัดทำข้อเสนอโครงการที่จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันไม่ให้เกิดการฉวยโอกาสจากโครงการในทางที่มิชอบได้ ทั้งนี้ ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ ไปประกอบการดำเนินการโดยเคร่งครัด

                3. รับทราบและเห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดของโครงการที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ  ม 33 เรารักกัน และผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ของสำนักงานประกันสังคม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ พร้อมทั้งมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่ได้รับสิทธิ์เร่งเข้าร่วมยืนยันตัวตนผ่านช่องทางที่กำหนดและใช้จ่ายตามที่กำหนดไว้ เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามวัตถุประสงค์และมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศอีกทางหนึ่ง

                4. รับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ของหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่มีผลการเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ 10 จำนวน 141 โครงการ (จาก 209 โครงการ) พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบทั้ง 209 โครงการ เร่งดำเนินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ โดยเร็ว โดยกำหนดเงื่อนไขว่าหากหน่วยงานไม่สามารถลงนามผูกพันสัญญาในกิจกรรม/โครงการที่ต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่มีแผนการใช้จ่ายในส่วนงบดำเนินงานที่ชัดเจนภายในวันที่ 30 เมษายน 2564 เห็นควรให้ยุติการดำเนินโครงการและรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะทราบ พร้อมทั้งส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายตามขั้นตอนของข้อ 19 และข้อ 20 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ต่อไป

                สาระสำคัญของเรื่อง

                รง. โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ส่งเรื่อง ปรับปรุงรายละเอียดโครงการ ม33 เรารักกัน ซึ่งเป็นการขอปรับปรุงรายละเอียดของโครงการฯ ตามความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ให้คณะกรรมการฯ พิจารณา ดังนี้

                1) การขอความร่วมมือและจัดทำข้อตกลงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

                        1.1) รง. โดย สปส. ขอความร่วมมือ กค. โดย สศค. สถาบันคุ้มครองเงินฝาก สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ และบริษัทธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในการดำเนินการตรวจสอบเงื่อนไขโครงการฯ “ไม่มีเงินฝากในสถาบันการเงินรวมกันทุกบัญชีเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563” ของผู้ประกันตนมาตรา 33 กลุ่มเป้าหมาย

                        1.2) รง. โดย สปส. ขอความร่วมมือกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยเพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคล (ชื่อ สกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน รหัสหลังบัตรประจำตัวประชาชน และวัน/เดือน/ปีเกิด) และขอเข้าถึงฐานข้อมูลภาพถ่ายตามบัตรประชาชน สำหรับกรณีกลุ่มอื่นที่มีความจำเป็นต้องตรวจสอบและยืนยันตัวตนในการใช้สิทธิ์ตามโครงการฯ ด้วยภาพถ่าย เช่น ผู้ที่ไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบสมาร์ทโฟน

                2) ขยายระยะเวลาให้ผู้ได้รับสิทธิ์เปิดใช้งานและกดยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งานและการโอนวงเงินผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” (G-wallet) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกันตนที่มีสิทธิ์ได้มีระยะเวลาในการกดใช้งานและยืนยันตัวตนเพิ่มมากขึ้นจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ดังนี้                        สรุป มติ ครม. 9 มีนาคม 2564

 3) เพิ่มเติมรายละเอียดในหัวข้อการขอทบทวนสิทธิ์ โดยหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาการตรวจสอบทบทวนสิทธิ์ของผู้ประกันตนตามโครงการ ม33 เรารักกัน เป็นไปตามที่ รง. กำหนด โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และผลการพิจารณาของ รง. โดย สปส. ให้ถือเป็นที่สุด

                4) เพิ่มหัวข้อการรับเรื่องร้องเรียน โดยผู้ประกันตนหรือประชาชนสามารถสอบถามหรือแจ้งเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้สิทธิ์ตามโครงการฯ ได้แก่ การลงทะเบียน การยื่นขอทบทวนสิทธิ์การร้องเรียนอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดเงื่อนไขของโครงการ ม33 เรารักกัน ได้ทางสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ในสำนักงานประกันสังคมส่วนกลาง สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ และสำนักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขาทั่วประเทศ

                5) เพิ่มหัวข้อการตรวจสอบการดำเนินโครงการฯ (Post Audit) โดยจะดำเนินการตรวจสอบเรื่องร้องเรียน โดยจะจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาตรวจสอบและดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการ ม33 เรารักกัน ซึ่งมีผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นคณะทำงานฯ เพื่อดำเนินการตรวจสอบ พิจารณา และวินิจฉัยการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดเงื่อนไขของโครงการต่อไป ทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ รง. กำหนด โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

                6) ปรับปรุงแผนการดำเนินงานและแบบรายงานการประเมินความเสี่ยงการทุจริตการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องตามโครงการฯ ที่ปรับปรุงแก้ไข

20. เรื่อง กรอบวงเงินงบประมาณด้านการอุดมศึกษาในความรับผิดชอบของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบบูรณาการที่มุ่งผลสัมฤทธิ์

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณด้านการอุดมศึกษาในความรับผิดชอบของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 117,880.9139 ล้านบาท และระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบบูรณาการที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ โดยให้ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เรื่อง แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

                งบประมาณปี 2565 เพื่อตอบโจทย์นโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่ชัดเจน กรอบวงเงินงบประมาณด้านการอุดมศึกษาในความรับผิดชอบของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตามมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562 จำนวน 117,880.9139 ล้านบาท มุ่งตอบสนองการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ตามนโยบายของรัฐบาล และแผนด้านการอุดมศึกษาเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศ พ.ศ. 2564 - 2570 ฉบับสมบูรณ์ โ