โบรกมั่นใจไม่ Lockdown โควิดรอบ2

06 ธ.ค. 2563 | 23:25 น.

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีผลกระทบรุนแรงและสร้างความเดือดร้อนในวงกว้างอย่างเลี่ยงได้ยาก ทั้งธุรกิจที่ต้องปิดตัวลง ส่งผลต่อการจ้างงาน การท่องเที่ยวที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องชะงักจากการปิดน่านฟ้า รวมถึงการลงทุนต่างๆในตลาดทุน ที่ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเสี่ยง เลือกที่ขายออกเพื่อเก็บเงินสดไว้ แม้จะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง ทองคำ ก็ยังคงผันผวนเช่นกัน

ผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบแรกคือช่วงเดือนมีนาคม 2563 ภาวะตลาดหุ้นไทยผันผวนในแดนลบอย่างหนัก โดยดัชนีหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 2-30 มีนาคม ลดลง 18.85% และลดลง 31.14% ตั้งแต่ต้นปีถึง 30 มีนาคม 2563 ถือเป็นการลดลงมากที่สุดของปี และยังเป็นเดือนที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากที่สุดที่ 78,403.64 ล้านบาท และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ลดลง 4,635,836.82 ล้านบาท

 

จากนั้นสถานการณ์ในประเทศเริ่มคลี่คลาย จากการไม่พบผู้ติดเชื้อติดต่อกันเป็นเวลานาน กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มมีมากขึ้น แต่ล่าสุดกลับพบการลักลอบเข้าประเทศ โดยช่องทางธรรมชาติในพรมแดนทางภาคเหนือ ทำให้มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 และเริ่มตรวจพบมากขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน-2 ธันวาคม 2563 ลดลง 19.83 จุด หรือ -1.37% และมาร์เก็ตแคปลดลง 208,003.04 ล้านบาท

โบรกมั่นใจไม่ Lockdown โควิดรอบ2

นายวิจิต อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ“ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ ขณะนี้้ยังมีความสุ่มเสี่ยง แต่ไม่มากนัก เพราะยังไม่พบการกระจายของผู้ติดเชื้อซึ่งสมมติฐานในสถานการณ์ที่แย่สุด หากมีการติดเชื้อแพร่กระจายเป็นวงกว้างและกลุ่มใหญ่ อาจมีโอกาสกลับมาใช้มาตรการ Lockdown และกระทบกับดัชนีหุ้นให้ปรับลดลงแน่นอน แต่เบื้องต้นเชื่อว่า จะไม่มีการ Lockdown เกิดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากมาตรการดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่และกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวม 

 

“เท่าที่ดูในตอนนี้สถานการณ์ยังไม่รุนแรงมาก เพราะต้องรอดูตัวเลขการติดเชื้อว่า จะกระจายหรือไม่ ถ้ามีนิดเดียว ก็กระทบกับตลาดหุ้นเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นกลุ่มใหญ่ก็ต้องกระทบมากแน่นอน แต่ตอนนี้ยังไม่พบการติดเชื้อในกลุ่มเสี่ยงและตลาดยังไม่ตื่นตระหนก อีกทั้งปัจจุบันตลาดหุ้นไทยถูกเลี้ยงด้วยกระแสเงินทุนต่างชาติที่กลับเข้ามาซื้ออีกครั้ง แม้จะขายออกในระดับแสนล้านก่อนหน้า แต่ก็ยังคงกลับเข้ามาซื้อที่ระดับหมื่นล้าน ถือเป็นการช่วยพยุงอีกแรง”

 

ขณะที่การลงทุนหุ้นในปี 2564หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจคือ กลุ่มที่จะฟื้นตัวได้ดีจากปีนี้ที่ปรับลดลงแรง เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ก่อนหน้านี้ปรับลดลงตํ่าแต่ปรับขึ้นแรงในช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งคาดว่าจะยังไปต่อได้โดยแนะนำหุ้นธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) และธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB)

ขณะเดียวกัน กลุ่มพลังงานจะเริ่มฟื้นตัวได้ดีในกลุ่มปลายนํ้า อย่างปิโตรเคมี คือหุ้นบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) (IVL) และกลุ่มต้นนํ้า คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ที่จะมีการเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ของบริษัท ปตท.นํ้ามันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) ที่คาดว่าจะซื้อขายในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564

 

ด้านบล.เอเซีย พลัส จำกัดประเมินว่า รัฐบาลไทยจะไม่กลับมา Lockdown เศรษฐกิจ สอดคล้องกับท่าทีของกรมควบคุมโรคที่ระบุว่า จะไม่มีการ Lockdown ในจังหวัดที่เกี่ยวข้อง แม้จะไม่เกิดขึ้น แต่อาจมีบรรยากาศคล้าย Lockdown เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในบางพื้นที่ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับที่พบผู้ติดเชื้อ อาจชะลอลงมาได้ ซึ่งจะทำให้ภาพการฟื้นตัวเศรษฐกิจทำได้ช้าลง นอกจากนี้มองว่าปัจจัยแวดล้อมยังไม่สามารถหยุดกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นได้ โดยต่างชาติซื้อสุทธิเดือนธันวาคม 1,600 ล้านบาทเช่นเดียวกับ ตลาดหุ้นภูมิภาคที่ถูกซื้อสุทธิเช่นกันที่ 737 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษบกิจ  ฉบับที่ 3,633 วันที่ 6 - 9 ธันวาคม พ.ศ. 2563