การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (Covid-19) ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกให้หยุดชะงัก โดยที่ผลิตมวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี (GDP) ของแต่ละประเทศต่างก็ติดลบไปตามๆกัน จากการประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งปี 63 จีดีพีโลกน่าจะอยู่ที่ -4.4% โดยประเทศสหรัฐอเมริกาจีดีพีน่าจะอยู่ที่ -4.3ขณะที่ประเทศไทย IMF คาดว่าจะคิดลบ 7.1%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตัวเลขจีดีพีที่ออกมาจะส่งบ่งบอกได้ถึงความอ่อนแอของภาวะเศรษฐกิจ แต่บริษัท วาย.เอส.เอส. (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายและโช๊คอัพแบรนด์ YSS ภายใต้การนำของภิญโญ พานิชเกษม ประธานกรรมการบริหาร กลับนำพาบริษัทโตสวนกระแสของโควิด-19 โดยตั้งเป้ายอดขายปี 63 ไว้ที่ระดับ 1 พันล้านบาท
-โตสวนกระแสโควิด
ภิญโญ กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบให้อุตสาหกรรมในประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.53) มียอดจำหน่ายลดลง 33% ส่วนผลประกอบการของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกมียอดขายรวม 441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.13% โดยกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จมากจากการที่บริษัทไม่รับจ้างผลิต (OEM) ให้กับค่ายรถรายใด แต่จะมุ่งเน้นการสร้างสรรค์โช๊คอัพภายใต้แบรนด์ YSS เป็นหลัก
ทั้งนี้ จากการดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้บริษัทมีทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) กระจายอยู่ทั่วโลกนอกจากที่ประเทศไทย ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ ,อิตาลี ,สเปน และญี่ปุ่น เป็นต้น เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้งาน และนำเสนอนวัตกรรมใหม่เพื่อมาตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวเหล่านั้น เนื่องจากแต่ละประเทศก็จะมีเส้นทางบนถนนที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในประสิทธิภาพการใช้งานของผลิคภัณฑ์
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการกระจายการทำตลาดออกไปยังตลาดต่างประเทศ ทำให้บริษัทได้รับอนิสงส์อย่างมากในช่วงโควิด-19 โดยเฉพาะที่อิตาลี ซึ่งมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างหนัก แต่ยอดขายโช๊คอัพของบริษัทกลับขยายตัวสูงถึงกว่า 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในช่วงที่สถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดีจากโรคระบาด ดังนั้น การใช้เงินของผู้บริโภคจึงมุ่งไปที่ความคุ้มค่า โดยผลิตภัณฑ์ YSS มุ่งตอบโจทย์เรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว ที่สำคัญยังมีราคาจำหน่ายที่ไม่สูงจนเกินไป ทำให้ผู้บริโภคหันมาเลือกใช้ YSS มากขึ้น
อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่ตอบโจทย์รถมอเตอร์ไซด์เกือบทุกรุ่นที่มีจำหน่าย โดยปัจจุบัน YSS มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกกว่า 7,500 รายการ ตอบสนองรถทั่วโลก 2,500 โมเดล ตั้งแต่ปี 1968-ปัจจุบัน เรียกว่ามีผลิตภัณฑ์ที่กว้างมากที่สุดในโลก
“YSS เป็นผลิตภัณฑ์โช๊คอัพแบรนด์ไทยที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในตลาดโลก ในกลุ่มสินค้าประเภทประสิทธิภาพสูง (High Performance) ของมอเตอร์ไซด์ และสกู๊ดเตอร์ โดยล่าสุดมีผลิตภัณฑ์ส่งออกไปจำหน่ายใน 55 ประเทศ ทั้งในภูมิภาคยุโรป เอเชีย ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา มีตัวแทนจำหน่าย 95 ราย และมีศูนย์บริการ 121 แห่งทั่วโลก มีกำลังการผลิตมากกว่า 1.5 ล้านชิ้นต่อปี”
-ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า
ภิญโญ กล่าวต่อไปอีกว่า เรื่องระบบการขนส่ง หรือโลจิสติกส์ก็เป็นกลยุทธ์สำคัญอีกด้านหนึ่งของบริษัท โดยมีแนวคิดที่ว่าจะต้องทำอย่างไรให้ส่งได้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ตัวแทนจำหน่ายต้องมีต้นทุนมากในการรอผลิตภัณฑ์ ซึ่งบริษัทจะมีการการันตีว่าภายใน 15 วันลูกค้าจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่ออเดอร์เข้ามาจากต่างประเทศ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพราะเป็นบริการจากทางบริษัท
ส่วนตลาดในประเทศไทยนั้น บริษัทได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนที่มีมาตรการล็อกดาวน์ส่งผลให้ยอดขายลดลง 10-30% แต่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา กลับพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสภาพตลาดโช๊คอัพโดยรวมมีการเปลี่ยนแปลงจากวิกฤติควิด-19 ที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์เลียนแบบไม่สามารถเข้ามาทำตลาดได้ ผู้บริโภคจึงหันมาซื้อผลิตภัณฑ์ YSS ของแท้มากขึ้น โดยต้องเรียนว่าผลิตภัณฑ์ YSS เป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกลอกเลียนแบบมากที่สุดจากความนิยมของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ต้องเรียนว่าช่วงโควิด-19 เป็นช่วงที่ดีให้บริษัทได้ปรับตัวอย่างมาก เพราะลูกค้าจะมีการลดการสต็อกกันหมด เนื่องจากกลัวมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง จากเดิมที่เคยสั่งจำนวนมากก็จะลดน้อยลงแต่มีปริมาณถี่ขึ้น โดยบริษัทก็ต้องมีการปรับเพื่อตอบโจทย์ มีการเพิ่มบุคลากร ทำให้ลูกค้ามีความสุขจากการขายผลิตภัณฑ์ของ YSS ซึ่งเป็นการจำหน่ายให้แบบเครดิต ลูกค้าขายได้เงินสดยังไม่ถึงเวลาที่ต้องชำระให้บริษัทก็มีการสั่งลอตใหม่ เรียกว่าไม่ต้องลงทุนสต็อกของที่ร้าน
“เราคิดในมุมว่าหากเป็นตัวแทนจำหน่ายเราต้องการได้อะไร เรามีข้อมูลให้แม้กระทั่งว่ารุ่นไหนที่ควรสต็อก เรามีบันทึกว่าประวัติการซื้อเป็นอย่างไร แต่จะเชื่อหรือไม่เชื่ออีกเรื่องหนึ่ง เซลล์จะบอกข้อมูล เราเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการให้ผู้ขายมีกำไร เพราะหากคนขายไม่กำไร ก็จะไม่ขายเยอะ จะขายเพื่อนำเงินมาหมุน เราไม่ต้องการแบบนั้น”
-รุกตลาดรถยนต์
สำหรับทิศทางของบริษัทในระยะต่อไปนั้น YSS จะขยายตลาดไปสู่การผลิตโช๊คอัพรถยนต์ ทั้งรถยนต์นั่งทั่วไป และรถยนต์เฉพาะกลุ่ม เช่น PPV ,ออฟโรด เป็นต้น โดยบริษัทได้เริ่มพัฒนามาแล้ว 2 ปี ซึ่งในอนาคตการจำหน่ายโช๊คอัพรถยนต์จะเป็นสัดส่วนหลักของบริษัท อีกทั้งยังจะมีการขยายธุรกิจศูนย์บริการ โดยกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการเปิดแฟลกชิพสโตร์แห่งแรกในกรุงเทพฯ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณ 40-50 ล้านบาท และมีแผนขยายศูนย์บริการเพิ่มขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ รวมถึงต่างจังหวัด และประเทศต่างๆในอาเซียน เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร
“บริษัทเริ่มขยายฐานลูกค้าทั่วโลก รวมถึงขยายผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุม และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อนาคต เพราะเชื่อว่าเทคโนลีของโช๊คอัพจะเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนใน 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทจึงได้ทำงานอย่างหนักในการพัฒนา และทดสอบ โดยคิดว่าภายใน 2 ปีจะมีผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ออกมาที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนผสม”
ภิญโญ บอกอีกว่า บริษัทเริ่มขยายตลาดด้วยการนำผลิตภัณฑ์อื่นที่เป็นแบรนด์ระดับโลกในวงการยานยนต์มาจัดจำหน่ายมากขึ้น โดยผ่านทางช่องทางเดิมของบริษัท ซึ่งไม่มีผลต่อการทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่จะมีผลทำให้บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้อย่างหลากหลาย โดยจะมุ่งเน้นไปยังตลาดที่บริษัทความชำนาญมากที่สุด เพื่อใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า แต่ในอนาคตหากมีธุรกิจอื่นที่น่าสนใจบริษัทไม่ได้ปิดกั้นตัวเองเช่นกัน