นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 คอนโดมิเนียมสูง 43 ชั้น จำนวน 338 ยูนิต มูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัทฮ่องกง แลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการมากมายในเอเชีย ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% พร้อมเข้าอยู่และโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้า โดยโครงการตั้งอยู่บนหนึ่งในทำเลที่ดีที่สุดของสุขุมวิท คือ ติดกับรถไฟฟ้าสถานีทองหล่อ แหล่งรวมไลฟ์สไตล์และที่พักอาศัยในระดับพรีเมียมของกรุงเทพฯ อีกทั้งเป็นทำเลยอดนิยมของชาวต่างชาติ จึงทำให้ทำเลนี้เป็นที่ต้องการและมีศักยภาพในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของลูกค้าในระดับพรีเมียมทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่ต้องการซื้อเพื่อพักอาศัยเองและซื้อเพื่อลงทุน
“สิงห์ เอสเตท มั่นใจในศักยภาพของตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีในย่านทองหล่อ ที่ยังคงมีความต้องการจากกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูง และคาดว่าจะขายได้ถึง 70% ภายในสิ้นปีนี้ และในวันนี้เราได้จัดงาน Open House เพื่อเริ่มเปิดให้ลูกค้าทำเรื่องโอน และเข้าอยู่ได้อย่างเป็นทางการ โดยบริษัทฯ พร้อมให้บริการแบบครบวงจรสำหรับขั้นตอนการโอนห้อง ทั้งชาวไทยและต่างชาติซึ่งเรามีทีมงานมืออาชีพให้บริการโดยเฉพาะ ดูแลด้านการตรวจรับ โดยคาดว่าจนถึงสิ้นปีจะมียอดโอนมูลค่า 1,650 ล้านบาท”
ขณะนายสิริเกียรติ วาทะพุกกณะ ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาด ฝ่ายพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันทองหล่อ เป็นทำเลที่ได้รับความนิยมสูงสุดของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพราะเป็นแหล่งที่รวมไลฟ์สไตล์ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของชาวต่างชาติมากกว่าทำเลอื่นในกรุงเทพฯ อีกทั้งยังเป็นย่านที่มีตลาดเช่าที่พักอาศัยเพื่อการลงทุนที่โดดเด่นมาก คอนโดระดับราคา 250,000-350,000 บาทต่อตารางเมตร เมื่อเทียบกับทำเล เรามั่นใจว่า ดิ เอส สุขุมวิท 36 สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของกลุ่มเป้าหมายด้วยมาตรฐานที่สูงมากทั้งในแง่การออกแบบ ทำเล และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่เรามอบให้
ขณะผลประกอบการของบริษัทนั้น นายณัฐวุฒิ ระบุว่า ล่าสุด บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายยอดโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2563 เหลือ 4,000 ล้านบาท จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ระดับ 9,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมียอดโอนกรรมสิทธิ์รวมแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ลูกค้าต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาดูโครงการได้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติประมาณ 40%
"ขณะนี้ปัจจัยที่กระทบต่อการทำธุรกิจมากสุด คือ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่มีวัคซีนชัดเจน ทำให้ลูกค้าชาวต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้อหรือโอนได้ด้วยตัวเองได้ ทั้งนี้ คาดว่าหากมีวัคซีนออกมารักษาโควิด-19 ชัดเจนแล้ว จะเห็นภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ตามมาด้วย โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลา 1-2 ปี กว่าจะฟื้นกลับมา "
อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมในการโอนมากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการโอนโครงการให้กับลูกค้า ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และจากการคลายล็อกดาวน์เริ่มมีลูกค้าชาวไทยทยอยกลับมาโอนเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ลูกค้าชาวต่างชาติเริ่มกลับมาโอนได้บ้าง ผ่านวิธีการต่างๆ ทั้งการตั้งตัวแทน การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย รวมถึงการจัดโปรโมชั่นจูงใจให้โอนบ้าง เป็นต้น
ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทมียอด Backlog (ยอดขายรอรับรู้รายได้) รวมกว่า 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น จากโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการกว่า 5,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36, 2.โครงการ ดิ เอส อโศก และ 3. โครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ และจากโครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส กว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงไตรมาส 4 ประมาณ 2,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยส่งมอบในปีถัดไป