“กระทรวงอุตสาหกรรม”อัด 1.7พันล้านบาทต่อมาตรการช่วย “SMEs” รอบ 2

02 ต.ค. 2563 | 02:50 น.

“กระทรวงอุตสาหกรรม” ต่อมาตรการช่วยเหลือ “SMEs” รอบ 2 หวังพยุงการจ้างงาน สร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศ

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐได้อนุมัติมาตรการช่วยเหลือ “เอสเอ็อมอี” (SMEs) เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่เป็นหนี้สินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง หรือการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรค “โควิด-19” (Covid-19) รอบที่ 2 ในกรอบการช่วยเหลือ 2 โครงการ ได้แก่

1.การให้สินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โดยมีกรอบวงเงินการให้สินเชื่อ 1 พันล้านบาท ซึ่งผู้กู้ต้องเป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท โดยวัตถุประสงค์การกู้ เพื่อใช้ในการปรับปรุงการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง หรือสำรองเป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินกิจการ ในสถานการณ์ภัยแล้ง หรือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยดำเนินการ เปิดรับคำขอสินเชื่อจาก SMEs ที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุน ฯ

และมีภาระหนี้เงินต้นวงเงินกู้สินเชื่อระยะยาว (Term Loan) คงเหลืออยู่กับกองทุน ตลอดจนไม่มีสถานะ NPLs หรือไม่อยู่ระหว่างถูกกองทุนดำเนินคดี และเป็นผู้ประกอบการที่มีสถานะการชำระเป็นปกติในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาซึ่งจะพิจารณาให้ได้รับวงเงินสินเชื่อต่อรายสูงสุดไม่เกิน 50% ของสินเชื่อที่ลูกหนี้สินเชื่อกองทุน ฯ ชำระเงินต้นคืน ซึ่งกองทุน ฯ จะดำเนินการปล่อยเงินกู้สินเชื่อระยะยาว สูงสุดไม่เกิน 5 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้น 1 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 

“กระทรวงอุตสาหกรรม”อัด 1.7พันล้านบาทต่อมาตรการช่วย “SMEs” รอบ 2

2.มาตรการช่วยเหลือ SMEs ที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อของกองทุน ฯ โดยมีกรอบวงเงินการให้สินเชื่อ 700 ล้านบาท ซึ่งคุณสมบัติของ SMEs ที่สามารถเข้ารับความช่วยเหลือจากกองทุน ฯ นั้น จะต้องเป็น SMEs ที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนฯ วงเงิน 8 พันล้านบาท โดยการพิจารณาสินเชื่อในครั้งนี้จะให้ความช่วยเหลือในด้านการบรรเทาภาระการชำระหนี้ ให้มีสภาพคล่องที่จะสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปในสภาวะวิกฤติ รวมทั้งเป็นการลดแนวโน้ม การเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) โดยให้วงเงินสินเชื่อต่อราย สูงสุดไม่เกิน 50% ของสินเชื่อที่ลูกหนี้กองทุนฯชำระเงินต้นคืนมีระยะเวลากู้สุงสุดไม่เกิน 5 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้น 1 ปี และมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพียง 1% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา

ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากจะกระทบวิถีชีวิตของคนไทย ซึ่งจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนในวิถี New Normal แล้ว ยังได้ส่งผลกับเศรษฐกิจไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ไทย ซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงสำคัญของประเทศ ที่ช่วยให้มีการจ้างงานมากถึง 12 ล้านคน และถึงแม้ว่าที่ผ่านมาการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายในประเทศไทยจะดำเนินการได้เป็นที่น่าพึงพอใจ แต่ผลกระทบที่เกิดกับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ก็ยังคงขาดสภาพคล่อง ทั้งในเรื่องของการค้า การลงทุนระหว่างประเทศที่ยังคงไม่สามารถดำเนินงานได้เป็นปกติ หรือแม้แต่ภายในประเทศเอง ก็ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่อง  ดังนั้น การให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเยียวยาให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ตลอดจนชะลอการเกิดหนี้เสียจากการไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ

“เชื่อมั่นว่ามาตรการข้างต้นจะเป็นส่วนสำคัญในการพยุงกลุ่ม SMEs ของไทย ให้สามารถประคับประคองการดำเนินกิจการต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และจะชะลอปัญหาการเลิกจ้าง ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ต่อไปในอนาคต ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถยื่นความประสงค์เข้าร่วมมาตรการฯ ณ หน่วยงานร่วมดำเนินการทุกสาขาในเขตพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่หรือสามารถแจ้งความประสงค์ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เว็บไซต์ www.smebank.co.th แอพลิเคชั่น SME D Bank (ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android) และผ่าน LINE Official Account : SME Development Bank โดยสามารถแจ้งความประสงค์ภายใน 31 ธันวาคม 2563 นี้”