สปสช.ยัน สิทธิบัตรทอง 8 แสนราย เข้ารักษาใกล้บ้านได้ทุกแห่ง

18 ก.ย. 2563 | 10:40 น.

สปสช. เผย เพิกถอนสัญญาเพิ่ม “คลินิก-โรงพยาบาล" 64 แห่ง เหตุ เบิกค่าบริการคัดกรองโรคกองทุนบัตรทองเกินจริง ยัน ประชาชนผู้มีสิทธิที่ได้รับผลกระทบ 8 แสนราย สามารถเข้ารับการรักษาใกล้บ้านได้ทุุกแห่งที่เป็น รพ.รัฐ -เอกชน และศูนย์บริการสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (18 กันยายน 2563) ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พร้อมด้วย ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. ร่วมแถลงข่าวชี้แจงแนวทางรองรับการดูแลประชาชนที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง ประมาณ 8 แสนราย ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เตรียมบอกยกเลิกสัญญาการให้บริการสาธารณสุขของคลินิกชุมชนอบอุ่นและโรงพยาบาลที่กระทำผิดสัญญาให้บริการสาธารณสุขในการเบิกจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน 64 แห่ง ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย. 2563 เป็นต้นไป 

 

นพ.การุณย์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้จากการยกเลิกสัญญาการให้บริการคลินิกชุมชนอบอุ่น 18 แห่ง ที่พบการทำผิดสัญญาการให้บริการสาธารณสุขในระบบ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 มีประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองได้รับผลกระทบประมาณ 2 แสนราย โดย สปสช.ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด แต่เมื่อได้มีการขยายการตรวจสอบคลินิกเพิ่มเติมตามมติบอร์ด เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม สปสช. พบว่า มี 66 คลินิกที่พบข้อหลักฐานสงสัยการเบิกจ่ายที่ไม่ถูกต้อง และเมื่อดำเนินการตรวจสอบแล้วคลินิก 64 แห่ง ที่พบการกระทำไม่ถูกต้อง ทำให้ต้องยกเลิกสัญญาหน่วยบริการเพิ่มเติม

 

แม้ว่าจะทำให้ประชาชนผู้มีสิทธิประมาณ 8 แสนคนที่ขึ้นทะเบียนสิทธิในคลินิกเหล่านั้นได้รับผลกระทบก็ตาม เพราะหาก สปสช.ไม่ดำเนินการก็จะเป็นผลลบกับประชาชนโดยตรง จากการถูกสวมสิทธิการรับบริการทั้งที่ไม่ได้รับการคัดกรองเบาหวานความดัน กระทบต่อองค์กรที่จะไม่ได้ข้อมูลเพื่อวางแผนบริกาคจัดการ และกระทบต่องบประมาณที่เป็นภาษีของประชาชน

 

มาตรการที่เตรียมรองรับ สำนักงานฯ ได้ประสานไปยังหน่วยบริการในพื้นที่ กทม. ไว้แล้ว โดยให้ประชาชนผู้มีสิทธิที่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่ สปสช.ยกเลิกสัญญา ผู้ป่วยสามารถไปรับบริการที่หน่วยบริการใน กทม. ที่ร่วมเป็นหน่วยบริการบัตรทองใดก็ได้  ที่เป็นโรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลเอกชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และศูนย์บริการสาธารณสุขได้โดยไม่ต้องใช้หนังสือส่งตัว ในระหว่างที่ สปสช. พยายามหาผู้ประกอบการคลินิกรายใหม่ทดแทน โดย สปสช.เขต 13 กทม.ได้เตรียมระบบรองรับซึ่งในส่วนของเวชระเบียนประชาชนสามารถขอได้ที่คลินิก หรือที่ศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่ กทม.

   

นพ.การุณย์ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมการตรวจสอบคลินิกเอกชนที่พบปัญหาหลักฐานเท็จเบิกจ่าย เริ่มแรก สปสช. ได้ตรวจสอบคลินิก 45 แห่ง พบคลินิกเบิกค่าบริการเกินจริง 18 แห่ง คลินิกทันตกรรม 2 แห่ง และคลินิกแล็บ (ไม่ได้อยู่ในระบบบัตรทอง) 2 แห่ง

 

ต่อมาได้ขยายผลตรวจสอบเพิ่มเติมคลินิก 86 แห่ง พบคลินิกเบิกจ่ายค่าบริการเกินจริง 66 แห่ง มีพฤติการณ์เหมือนคลินิก 18 แห่ง แต่จำนวนการเบิกจ่ายน้อยกว่า ในจำนวนนี้เป็นคลินิกเอกชน 53 แห่ง ทันตกรรม 3 แห่ง และโรงพยาบาล 10 แห่ง และขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบอีก 107 แห่ง  

 

ด้าน ทพ.อรรถพร กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้มีสิทธิ มีกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องประสานอย่างเร่งด่วนใน 4 กลุ่ม คือ

กลุ่ม 1 ผู้ป่วยที่เข้ารับบริการในคลินิกชุมชนอบอุ่น และผู้ป่วยที่รับบริการในโรงพยาบาลส่งต่อ ซึ่งในจำนวนนี้มีส่วนหนึ่งมีคิวรอผ่าตัดล่วงหน้า โดย สปสช. เขต 13 กทม. ได้ขอรายชื่อและประสานส่งต่อโรงพยาบาลในระบบเพื่อให้การรักษาต่อเนื่องแล้ว

กลุ่ม 2 เป็นกลุ่มที่ยังรักษาตัวเป็นคนไข้ในโรงพยาบาล

กลุ่มที่ 3 หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 32 เดือน ใกล้คลอดแล้ว

กลุ่มที่ 4 คนไข้ฟอกไตต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมด สปสช.ได้เร่งดำเนินการและประสานหน่วยบริการรองรับแล้ว

 

นอกจากนี้ในส่วนของผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ความดัน เป็นต้น สปสช. เขต 13 กทม. อยู่ระหว่างการประสานหาหน่วยบริการใหม่ให้เช่นกัน รวมถึงประชาชนผู้มีสิทธิที่ขึ้นทะเบียนยังหน่วยบริการดังกล่าว สำหรับกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินรวมถึงอุบัติเหตุ ประชาชนยังสามารถใช้สิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต หรือ UCEP ได้

 

อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนผู้ป่วยที่มีมาก อาจมีบางส่วนอาจยังไม่ได้รับการติดต่อและประสานเพื่อแก้ไขปัญหา ขอให้ติดต่อมาที่สายด่วน สปสช. 1330 ได้ ซึ่งขณะนี้ สปสช. ได้เตรียมคู่สายรองรับ 60 คู่สายแล้ว แต่ด้วยจำนวนประชาชนขณะนี้ที่โทรเข้ามามากทำให้อาจยังติดต่อไม่ได้ ซึ่ง สปสช. ยังมีช่องทางติดต่ออื่นโดยสามารถส่งข้อความผ่าน Facebook สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือผ่านทางไลน์ โดย สปสช. ได้เปิดไลน์ใหม่เฉพาะ ID LINE : 1330_2  ขอให้ส่งข้อมูล ชื่อ เลขที่บัตรประชาชน ปัญหาที่ได้รับผลกระทบ และเบอร์ติดต่อกลับ โดยทางเจ้าหน้าที่ 1330 จะโทรกลับไปเพื่อประสานในการแก้ไขปัญหาโดยเร็วต่อไป 

 

“การยกเลิกสัญญากับคลินิกที่กระทำผิดสัญญาในครั้งนี้ ยอมรับว่าทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง โดย สปสช. ได้พยายามเร่งแก้ไขปัญหาแล้ว แต่ต้องย้ำว่าไม่ใช้คลินิกเอกชนทุกแห่งที่ให้บริการบัตรทองทุจริต ยังมีคลินิกดีๆ ที่ให้บริการที่ดีและยังคงให้บริการดูแลผู้มีสิทธิบัตรทองอยู่” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว       

 

ทั้งนี้ แนวทางบรรเทาผลกระทบประชาชนในการเข้ารับบริการสาธารณสุขกรณี 64 หน่วยบริการถูกยกเลิกสัญญา มีดังนี้

1.กรณีเจ็บป่วยทั่วไปหรือมีแผนการรักษาพยาบาลกับหน่วยบริการทั้ง 64 แห่ง ประชาชนกลุ่มดังกล่าวสามารถเข้ารับบริการรักษาพยาบาลต่อเนื่องได้ที่หน่วยบริการภาครัฐและเอกชน ได้แก่ โรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลเอกชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน ได้โดยไม่ต้องใช้หนังสือส่งตัว

 

2.สำหรับกรณีผู้ป่วยที่มีหนังสือส่งตัวเดิมเพื่อไปรักษาที่โรงพยาบาลรับส่งต่อ สามารถเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลรับส่งต่อเดิมได้โดยไม่ต้องใช้หนังสือส่งตัว แต่หากโรงพยาบาลรับส่งต่อเดิมนั้นถูกยกเลิกสัญญาด้วย ก็สามารถเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้านได้โดยไม่ต้องใช้หนังสือส่งตัว

 

3.กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ประชาชนสามารถเข้ารับบริการรักษาพยาบาลได้ที่หน่วยบริการภาครัฐและและเอกชน ได้แก่ โรงพยาบาลของรัฐ ศูนย์บริการสาธารณสุข โรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือหากเป็นภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติเข้าเกณฑ์เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ หรือ UCEP (Universal Coverage for Emergency Patients) ก็สามารถเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านได้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

ไขข้อข้องใจ ยกเลิก 64 คลินิก ผู้ใช้บัตรทองต้องทำอย่างไร

อัพเดท "ขั้นตอน-วิธีการ" ย้ายสิทธิบัตรทองด้วยตนเองได้ 2 ช่องทาง

แนะ 5 ช่องทางตรวจสอบสิทธิ"บัตรทอง"ด้วยตัวเอง

4 ขั้นตอนย้ายสิทธิบัตรทองได้ด้วยตนเอง

4.กรณีผู้ป่วยที่ยังนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล ที่ถูกประกาศยกเลิกสัญญา แต่ยังไม่สิ้นสุดแผนการรักษา ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะใช้สิทธินอนรักษาต่อเนื่องได้จนอาการดีขึ้น แพทย์พิจารณาแล้วอนุญาตให้กลับบ้านได้ โดยโรงพยาบาลยังเบิกค่าใช้จ่ายกรณีผู้ป่วยกลุ่มนี้มายัง สปสช.ได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จึงขอความร่วมมือโรงพยาบาลช่วยดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ตามมาตรฐานการให้บริการสาธารณสุข

 

5.ในส่วนของผู้ป่วยที่มีนัดผ่าตัดหรือแอดมิทเป็นผู้ป่วยในตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย. 2563 กับโรงพยาบาลที่ถูกบอกยกเลิกจำนวน 7 แห่ง ยังสามารถแจ้งชื่อ วันนัดผ่าตัด และเบอร์โทรศัพท์ มาที่สายด่วน สปสช. 1330 ซึ่งเจ้าหน้าที่จะประสานหน่วยบริการให้ได้รับการรักษาและได้รับผลกระทบน้อยที่สุด หรือหากมีข้อสงสัยก็สามารถสอบถามทางสายด่วน 1330 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยทาง สปสช. ต้องขออภัยความไม่สะดวกในครั้งนี้