ในวิกฤติ ยังมีโอกาส: e-Business ทางรอดธุรกิจ SME ในยุคดิจิทัล

17 ก.ย. 2563 | 10:31 น.

บาทความโดย นางสาวฐิตินันทน์ ฐิตะฐาน ฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)

“ถ้าไม่ปรับ…ก็ไม่รอด ถ้าไม่ก้าวไปข้างหน้า…ก็คือถอยหลัง” ประโยคนี้อาจฟังดูโหดร้ายไปซักนิด แต่เป็นข้อเตือนใจได้อย่างดีให้กับผู้ประกอบธุรกิจในยุคดิจิทัล โดย วิกฤติโควิด-19 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ตอกย้ำให้เห็นความสำคัญของคำว่า “ปรับตัว” เราได้เห็นผู้ประกอบการหลายราย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจรายย่อย (SME) เริ่มปรับกลยุทธ์และเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาจับจ่ายใช้สอย ทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจบนโลกออนไลน์กันมากขึ้น

 

ไม่ว่าซื้อเสื้อผ้า ของกินของใช้ ของสด ของแห้ง ไปจนกระทั่งคอร์สฝึกอบรม หรือครูสอนออกกำลังกายออนไลน์ จนเป็นความเคยชินและค่อย ๆ กลายเป็น new normal ในที่สุด

 

ในช่วงที่ผ่านมา เราจึงได้เห็น e-commerce ในไทยเติบโตสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการสร้างร้านค้าออนไลน์ของตัวเอง ผ่านทางเว็บไซต์ หรือ social media เช่น Facebook และ Instagram ทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลการใช้บริการของลูกค้าได้โดยตรงและนำมาใช้ต่อยอดในการพัฒนาสินค้าและบริการได้ดีขึ้น หรืออาจเลือกขายผ่านตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (e-marketplace) เช่น Lazada และ Shopee ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องลงทุนมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน ก็นับเป็นการปรับตัวที่ดี ช่วยให้ผู้ขายเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ในวงกว้าง

 

เรียกได้ว่า แม้จะมีแค่ร้านเล็ก ๆ หรือไม่มีหน้าร้านเลย แต่สามารถมีลูกค้าได้ทั่วประเทศหรืออาจจะทั่วโลกก็มีตัวอย่างให้เห็นกันแล้ว

 

แต่จะว่าไป...นี่เป็นเพียงแค่ “หน้าบ้าน” หรือส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจเท่านั้น เมื่อมองในภาพรวมของทั้งกระบวนการทำธุรกิจตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เราจะพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงทำธุรกิจในรูปแบบเดิม เน้นการใช้เอกสารกระดาษในขั้นตอนต่าง ๆ เป็นหลัก เช่น ใบสั่งซื้อ ใบกำกับภาษี และใบเสร็จ ทำให้มีต้นทุนโดยรวมสูง ยุ่งยาก เสียเวลา เสียโอกาสในการเข้าถึงบริการต่อยอดอื่น ๆ ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันน้อยกว่าคู่แข่ง

 

ดังนั้นแล้ว การปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-business ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อจัดจ้าง (e-procurement) การผลิตและบริหารจัดการคลังสินค้า (e-inventory) การติดต่อสื่อสารกับคู่ค้า (e-message) การขนส่ง (e-logistic) การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-payment) หรือการชำระภาษี (e-tax) จึงเป็น “ทางเลือก” ที่นำไปสู่ “ทางรอด” ในยุคดิจิทัลนี้

 

ตัวอย่างเช่น การใช้ระบบ e-inventory และ e-logistic ที่สามารถเชื่อมโยงกับระบบการขายหน้าบ้าน ทำให้เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าเข้ามา ระบบจะบริหารจัดการสต๊อกสินค้าและขนส่งสินค้าไปถึงลูกค้าได้อย่างถูกต้อง ทันใจ การใช้ระบบ e-payment ที่ทำให้การชำระเงินสะดวก ง่าย ปลอดภัย ต้นทุนต่ำ และมีทางเลือกที่หลากหลาย เช่น พร้อมเพย์ Thai QR Payment บัตรเครดิต/เดบิต และ e-money ช่วยทำให้กระแสเงินหมุนเวียนในธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น

 

รวมถึงสามารถตรวจทานการรับจ่ายเงินระหว่างคู่ค้าได้ทันที หรือการใช้ระบบ e-tax ที่จะช่วยลดขั้นตอนและเอกสารในการชำระภาษี สามารถตรวจสอบข้อมูลภาษีได้สะดวก และอาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี การตรวจสอบ และคืนภาษีที่รวดเร็วอีกด้วย

 

อีกประโยชน์หนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ การนำข้อมูลหรือเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ไปพัฒนาต่อยอดสู่บริการทางการเงินอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ เช่น การนำข้อมูลจากประวัติการดำเนินธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความน่าเชื่อถือสูง มาเป็นใช้ประกอบการขอสินเชื่อออนไลน์แทนรูปแบบเก่าที่ต้องใช้เอกสารกระดาษจำนวนมากและใช้เวลาตรวจสอบความถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้การพิจารณาสินเชื่อและประเมินความเสี่ยงในการกู้มีความรวดเร็วและแม่นยำขึ้น และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SME

 

การปรับตัวเข้าสู่ e-business ยังช่วยส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทย ยิ่งหากกลับมาเปิดประเทศได้เหมือนเดิมแล้ว การแข่งขันจะยิ่งเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม สินค้าและบริการจากต่างประเทศจะเริ่มหลั่งไหลกลับเข้ามาเป็นทางเลือกของผู้บริโภค ผู้ประกอบการจำเป็นต้องใช้ข้อมูลจากการทำธุรกิจดิจิทัลมาประมวลผล ต่อยอด ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ พัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบตรงโจทย์ ครองใจลูกค้าให้ได้มากที่สุด ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน 

อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่อยู่ๆ จะทำให้ผู้ประกอบการลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนจากการทำธุรกิจแบบเดิมๆ  ก้าวไปสู่ e-business คงต้องขอบคุณสถานการณ์โควิด-19 ที่เป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการปรับตัวในยุคดิจิทัล เรียนรู้และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ

 

ผู้ประกอบการ SME ที่อาจยังไม่พร้อมลงทุนกับระบบ e-business ด้วยตัวเอง ก็อาจเริ่มจากการใช้ ระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) ซึ่งจะช่วยบริหารจัดการ เชื่อมผสานกระบวนการต่าง ๆ ทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี และมีความยืดหยุ่นสูงและหลากหลาย ปัจจุบันมีทางเลือกและโซลูชันที่สามารถนำมาใช้ให้เหมาะกับธุรกิจแต่ละประเภทได้ โดยมีต้นทุนที่เหมาะสม ในราคาที่สามารถจับต้องได้  

 

การปรับและเปลี่ยนไม่ใช่เพียงเพื่อการเอาตัวรอดให้พ้น “วิกฤติ” นี้ไปเท่านั้น แต่ถือเป็น “โอกาส” ในการวางรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันและยืนได้อย่างมั่นคงในยุคดิจิทัลอีกด้วย

 

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย