ผ่านประสบการณ์มา 4 วิกฤติ  ครั้งนี้หนักที่สุด 

25 ก.ค. 2563 | 01:00 น.

ผ่ามุมคิด

การประกาศลดเป้าหมายรายได้รวมปี 2563 ของบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ลงมามากกว่า 50% จากระดับ 2 หมื่นล้านบาท เหลือประมาณ 9 พันล้านบาท หลังจากนายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยอมรับว่าผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ได้พ่นพิษรุนแรง วิกฤติสุดต่อภาคท่องเที่ยว และธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของบริษัท ฉุดยอดผู้เข้าพักทั้งในตลาดโลกและในประเทศ หายไปนับ 50-80% นั้น นอกจากถือเป็นการผ่อนเกียร์เร่งครั้งแรกในการดำเนินธุรกิจแล้ว ก็อาจแกว่งไปถึงแผนเป้าหมายการเติบโตระยะยาว 5 ปี (2563-2567) กับการเป็น Global Holding Company ของกลุ่มไม่น้อย ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาใหม่ อย่างไรก็ตาม แม่ทัพใหญ่คนเดิม เชื่อหลังผ่านพ้นวิกฤติจะกลับมาฟื้นตัวได้ พร้อมเอ่ยปาก ทั้ง 3 ธุรกิจหลัก ภาคที่อยู่อาศัย โรงแรม และอาคารสำนักงาน จะถูกเข็นผ่านกลยุทธ์ใหม่ๆ สร้างสมดุลทางรายได้ โดยมีจุดแข็งเรื่องสภาพคล่อง กระแสเงินสดในมือ 6 พันล้านบาท เสริมการลงทุน

 

3 เดือนแห่งความยากลำบาก

สถานการณ์ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค.บริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้ง 3 ธุรกิจในพอร์ต โดยประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ทั้งคอนโดมิเนียม และโครงการแนวราบ มียอดขาย และการโอนลดลง 10-15% ตามทิศทางตลาดซบเซา ทำให้ตัดสินใจเลื่อนการเปิดขายในบางโครงการ ส่วนธุรกิจอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า ได้รับผลกระทบแง่รายได้ประมาณ 5-10% และธุรกิจโรงแรมและบริการ ซึ่งหนักสุด ได้รับผลกระทบประมาณ 50-80% อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพคล่อง กระแสเงินสด 6 พันล้านบาท ทำให้บริษัทประคองธุรกิจผ่านพ้นสถานการณ์ไปได้ และเตรียมกลยุทธ์ใหม่ๆ ในการสร้างเติบโตต่อเนื่อง

นริศ เชยกลิ่น

 

ไตรมาส 4 ตลาดต้องฟื้น

อย่างไรก็ตาม แม้ยอมรับ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นนั้น ยกให้เป็นวิกฤติที่หนักที่สุดในชีวิตการทำงาน จาก 4 วิกฤติทางเศรษฐกิจที่เคยเผชิญมา แต่ยังเชื่อมั่นว่า วิกฤติดังกล่าวจะจบสิ้นในปีนี้ จากการควบคุมผู้ติดเชื้อได้ดี และในช่วงครึ่งปีหลัง ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยจะฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว-การโรงแรม และการกลับมาบุก เดินหน้าธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยกันใหม่ของผู้พัฒนาฯรายใหญ่ โดยประเมินว่า อย่างตํ่าช่วงไตรมาส 4 คงเห็นทิศทางมากขึ้น ส่วนการปรับลดเป้ารายได้ของบริษัทลง 50% อยากให้เปรียบเทียบคล้ายกับการขับรถ และผ่อนเกียร์ลง เพื่อหลบถนนขรุขระ-ชำรุด มากกว่า เพราะเป็นการชะลอเพียงชั่วคราว เมื่อหนทางสงบ ก็กลับมาขับในเกียร์ปกติต่อ จึงไม่ได้กังวลมากมาย และพร้อมจะเดินหน้าธุรกิจในช่วงหลังจากนี้อย่างเต็มที่ โดยยึดการปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์

“วิกฤติ เป็นสิ่งชั่วคราวเรามั่นใจ การทำงานของรัฐ ส่วนสิงห์เอสเตทต้องเติบโตต่อ โดยมีเชื่อมั่นด้านเข้มแข็งของพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะอาคารสำนักงาน และ กลุ่มที่อยู่อาศัย ซึ่งได้รับผลกระทบน้อย ก็จะถูกผลักดันในรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น เน้นความเป็นพรีเมียมตามวิสัยทัศน์สูงสุด
ที่วางไว้”

 

มุ่งแนวราบรับขยายเมือง

นายนริศ ยังกล่าวว่า นอกจากบริษัทจะเน้นขยายความหลากหลายของธุรกิจ ซึ่งขณะนี้เริ่มเข้าไปลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ สร้างกลุ่มรายได้ประจำ ตามยุทธศาตร์การเติบโตระยะยาว 5 ปี ผ่านงบลงทุน 6.8 หมื่นล้านบาท เช่น การชิมลางสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดย่อม บนเกาะมัลดีฟแล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับการเติบโตในธุรกิจที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดพรีเมียมเซ็กเมนต์ ซึ่งยังคงมีความแข็งแกร่งของแบรนด์ ไม่เคยแข่งขันลดราคา เพื่อต้องการรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ต่างๆไว้ ขณะเดียวกันตลอดช่วงยากลำบาก พบหลายโครงการคอนโดฯที่กำลังก่อสร้าง เช่น ดิเอส อโศก หรือ แม้แต่แนวราบราคาแพง อย่าง “เดอะ สันติบุรี เรสซิเดนเซส”ก็ยังไปต่อได้ ฉะนั้นทั้งกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นสิงห์ เอสเตท หรือ เนอวานา ไดอิ จะลุยเปิดโครงการใหม่เฉลี่ยปีละ 5-7 โครงการ โดยเฉพาะโครงการแนวราบในรูปแบบมิกซ์ยูสมากขึ้น เพื่อรับโอกาสจากความเปลี่ยนแปลงของเมือง รวมไปถึงการเล็งพัฒนาออฟฟิศบิวดิ้งในรูปแบบแนวราบด้วย

“อนาคตโครงการที่เกิดขึ้น จะถูกพัฒนาด้วยความสมบูรณ์ และลงตัวมากขึ้น ซึ่งมิกซ์ยูส เป็นคำตอบทั้งในแง่ New Normal และอานิสงส์ของสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้าที่จะแล้วเสร็จหลายสาย แม้กระทั่ง ออฟฟิศ อาจไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ใน CBD แต่ไปอยู่ตามแนวรถไฟฟ้าที่ขยายไป พบดีมานด์รอบเมืองเริ่มเกิดขึ้นแล้ว”

ทั้งนี้ ในธุรกิจโรงแรม ยังคงตั้งเป้าขยายจำนวนโรงแรมเป็น 2 เท่า จาก 39 แห่ง ทั่วโลก เป็น 80 แห่ง ภายในระยะ 5 ปี 

 

หน้า 19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40  ฉบับที่ 3,594 วันที่ 23 - 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2563