กกต.มืนปมยึดเงินกู้อนาคตใหม่191ล้าน

12 พ.ค. 2563 | 12:12 น.

กกต.ถกปมยึดเงินกู้อนาคตใหม่ 191 ล้านเข้ากองทุนพัฒนาพรรคการเมือง มึนยังไม่ชัดยึดหมด หรือส่วนเกิน แถมโทษปรับก.ม.เขียนอายุความ 1 ปี ซ้ำพรรคถูกยุบไปแล้วจะเรียกเงินผิดก.ม.จากใคร สั่งชงเข้าคณะที่ปรึกษาก.ม.พิจารณาหาข้อยุติ

 วันนี้ ( 12 พ.ค.63) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มี นายอิทธิพร บุญประคอง เป็นประธาน ได้มีการพิจารณากรณีสำนักงาน กกต. เสนอแนวทางการดำเนินการ หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่จากเหตุกู้เงินนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรค จำนวน 191 ล้านบาท 


โดยกกต.ต้องดำเนินการตามมาตรา 125 พ.ร.ป.พรรคการเมืองที่กำหนดว่า พรรคการเมืองใดรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคล หรือนิติบุคคลใดมีมูลค่าเกินว่า 10 ล้านบาทต่อปี ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 66 วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรคมีกำหนด 5 ปี และให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ส่วนที่เกินมูลค่าที่กำหนดตกเป็นของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 
 

และมาตรา 126 ที่กำหนดว่าผู้ดำรงตำแหน่งที่ในพรรคการเมืองหากฝ่าฝืนมาตรา 72 รับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคล นิติบุคคล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น ซึ่งทางสำนักงานฯ ได้เสนอประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงให้ที่ประชุมได้พิจารณาหลายประเด็น ทั้งในเรื่องของจำนวนเงินที่จะต้องตกเป็นของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ว่าควรจะเป็นเงินกู้ทั้ง 191 ล้านบาท เพราะเป็นเงินที่รับบริจาคโดยวิธีการที่ไม่ชอบ  หรือเฉพาะเงินส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท ที่ถือว่าเป็นการรับบริจาคเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด  


รวมทั้งพรรคอนาคตใหม่มีการชำระคืนเงินกู้บางส่วนให้แก่ นายธนาธร ไปแล้วจะต้องดำเนินการอย่างไร โทษปรับกฎหมายเขียนอายุความ 1 ปี ซึ่งก็ต้องมีการพิจารณาว่าจะนับจากวันที่มีการกู้เงิน หรือเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หากนับจากวันที่มีการกู้ก็จะถือว่าเกินแล้ว เพราะพรรคกู้เงินก้อนแรก 161.2 ล้าน จากนายธนาธร ในวันที่ 2 ม.ค. 62  

 

ที่สำคัญขณะนี้ไม่มีพรรคอนาคตใหม่แล้ว เนื่องจากถูกยุบพรรคฉะนั้นจะดำเนินการเอาเงินนั้นมาเป็นของกองทุนอย่างไร จะสามารถเอาจากทรัพย์สินที่เหลือจากการชำระบัญชีได้หรือไม่ และหากไม่เพียงพอจะต้องดำเนินการอย่างไร และการดำเนินการจะต้องใช้การฟ้องคดีหรือไม่ ซึ่งที่ประชุมกกต.เห็นว่ามีปัญหาข้อกฎหมายซับซ้อนหลายประเด็น ดังนั้นเพื่อความรอบคอบในการดำเนินการ จึงให้สำนักงาน กกต. นำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือคณะที่ปรึกษากฎหมายของสำนักงานกกต.ก่อนจึงค่อยเสนอกกต.พิจารณาใหม่อีกครั้ง