“อนุสรณ์” ห่วง "กองทุนประกันสังคม" มีปัญหาหากจ่าย 75% ขึ้นไป

10 พ.ค. 2563 | 11:10 น.

อนุสรณ์ เห็นด้วยกับมติของบอร์ดประกันสังคม ชี้หากจ่าย 75% แก่ผู้ประกันตนประมาณ 9.9 แสนล้านคนเศษที่ว่างงานจากเหตุสุดวิสัยจากมาตรการล็อกจะทำให้กองทุนประกันสังคมประสบปัญหาความยั่งยืนทางการเงิน

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการและผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีความเห็นต่างทางนโยบายเรื่องการเพิ่มอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานระหว่างบอร์ดประกันสังคม รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ว่า เห็นด้วยกับมติของบอร์ดประกันสังคมเนื่องจากเป็นระบบไตรภาคีและมีการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว การกำหนดนโยบายหรือมาตรการใด ๆ ต้องยึดหลักการ อย่าหวั่นไหวต่อแรงกระเพื่อมใดๆ ทั้งจากรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน

 

“อนุสรณ์” ห่วง \"กองทุนประกันสังคม\" มีปัญหาหากจ่าย 75% ขึ้นไป

หากจ่าย 75% (ตามรัฐมนตรีแรงงาน) หรือ จ่ายมากกว่า 75% (ตามข้อเสนอของสมาชิกฝ่ายค้านบางท่าน) แก่ผู้ประกันตนประมาณ 9.9 แสนล้านคนเศษที่ว่างงานจากเหตุสุดวิสัยจากมาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 (Covid-19) (แทนที่จะเป็น 50% ของเงินเดือนไม่เกินเพดาน 15,000 บาท) จะทำให้กองทุนประกันสังคมประสบปัญหาความยั่งยืนทางการเงินในระยะต่อไปและยังไม่เป็นธรรมกับผู้ประกันตนอีกกว่า 16 ล้านคน

 

หากรัฐบาลและรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานต้องการจ่าย 75% ก็เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับผู้ประกันตนที่ว่างงานในช่วงนี้แต่รัฐบาลต้องไปจัดสรรเงินมาจ่ายเพิ่มเติมให้กองทุนประกันสังคม

 

แต่การจ่ายที่ระดับดังกล่าวก็อาจไม่เป็นธรรมกับแรงงานนอกระบบประกันสังคมอีกซึ่งได้รับเงินโอนช่วยเหลือน้อยกว่า ส่วนเรื่องการยืดและลดการจ่ายสมทบกองทุนประกันสังคม ทั้งในส่วนของลูกจ้างและนายจ้างเป็นการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องยึดมติของบอร์ดประกันสังคม เพราะเป็นระบบไตรภาคี รัฐบาลจะไปกำหนดเอาเองว่าจะยืดไปถึงสิ้นปีหรือลดการจ่ายสมทบเท่าไหร่ก็ได้ไม่ได้

 

การตัดสินใจใด ๆ ต้องยึดระบบไตรภาคีและต้องเป็นไปตามหลักการการมีส่วนร่วม หลักวิชาการทางด้านประกันสังคมและหลักการคำนวณคณิตศาสตร์ประกันภัยเพื่อให้เกิดความมั่นคงต่อระบบประกันสังคมในระยะยาว

สำหรับเรื่องการเสนอเพิ่มการจ่ายทดแทน 62% ให้ลูกจ้างกรณีหยุดกิจการชั่วคราว (ลูกจ้างว่างงานชั่วคราวแต่ยังไม่ได้เลิกจ้าง) นั้น มองว่ากรณีลูกจ้างเจอกับภาวะการหยุดกิจการชั่วคราวกรณียังไม่ใช่เลิกจ้าง นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้าง 75% ของค่าจ้างเดือนสุดท้ายในระหว่างหยุดกิจการตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานอยู่แล้ว ไม่ควรมาใช้เงินของกองทุนประกันการว่างงานซึ่งจะเป็นเอาประโยชน์จากนายจ้างและลูกจ้างรายอื่นๆ อย่างไม่เป็นธรรม

 

ยกเว้นการหยุดกิจการชั่วคราวนั้นเป็นเหตุสุดวิสัยอันเป็นผลมาจากคำสั่งล็อกดาวน์ของรัฐ ไม่ใช่ตัดสินใจปิดกิจการชั่วคราวไปเอง

“อนุสรณ์” ห่วง \"กองทุนประกันสังคม\" มีปัญหาหากจ่าย 75% ขึ้นไป

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า ประกาศห้ามลูกจ้างนัดหยุดงานและนายจ้างปิดงานนั้น  ตนเข้าใจเจตนาดีของรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานในการรักษาความสงบเรียบร้อยในระบบแรงงานสัมพันธ์ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ แต่เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ระบบแรงงานสัมพันธ์ของไทยนั้นยังไม่ได้มาตรฐานแบบยุโรปหรือมาตรฐานแบบญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้

 

การออกประกาศดังกล่าวจะเป็นการลดอำนาจต่อรองของลูกจ้างและองค์กรลูกจ้างหรือสหภาพแรงงาน จะทำให้การเลิกจ้างทำได้ง่ายขึ้นและขยายตัวมากขึ้น รวมทั้งมีแนวโน้มเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมเพิ่มขึ้น มาตรฐานความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานอาจต่ำลงจากความพยายามดิ้นรนในการลดต้นทุน  

   

อย่างไรก็ตาม ตนเคยเสนอให้เพิ่มความหนืดในการเลิกจ้างโดยกระทรวงแรงงานควรแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานให้เพิ่มค่าชดเชยในทุกช่วงอายุงานสำหรับกรณีถูกเลิกจ้างเพิ่มขึ้นอีก 2 เดือน เช่น อัตราที่ 1 ทำงานครบ 120 วัน แต่ไม่ถึง 1 ปี ได้ค่าชดเชย 30 วัน เปลี่ยนเป็น 90 วัน อัตราที่ 2 ทำงานครบ 1 ปี แต่ไม่ถึง 3 ปี ได้ค่าชดเชย 90 วัน เปลี่ยนเป็น 150 วัน จนถึง อัตราที่ 6 ทำงานมากกว่า 20 ปีขึ้นไป ได้รับค่าชดเชย 460 วัน

 

การดำเนินการดังกล่าวจะเพิ่มความหนืดหรือต้นทุนให้กับการตัดสินใจเลิกจ้าง ทำให้สถานประกอบการตัดสินใจเลิกจ้างลดลง หากกิจการใดเพิ่มการจ้างงานโดยที่กิจการยังคงขาดทุนอยู่ เสนอให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบในกองทุนประกันสังคมทั้งหมดสำหรับการจ้างงานใหม่ในส่วนเงินสมทบของนายจ้างแทนเป็นเวลา 1 ปี

 

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรห้ามการนัดหยุดงานและปิดงานตามประกาศคำสั่งล่าสุด เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ พอเกิดวิกฤติแล้วมันจะสั่งไม่ได้ และคำสั่งแบบนี้อาจทำให้ตลาดแรงงานขาดกลไกในการปรับตัวตามสภาวะ ความมีเสถียรภาพและความมั่นคงเกิดจากการสร้างความเป็นธรรมในกระบวนการเจรจาต่อรอง ไม่ได้เกิดจากการใช้คำสั่ง ในที่สุด มันจะซุกปัญหาไว้ใต้พรมรอวันปะทุซึ่งจะรุนแรงกว่าการปล่อยให้มีช่องทางของการระบายแรงกดดันในตลาดแรงงานและวิกฤติเลิกจ้างปิดงาน

รัฐบาลควรไปศึกษาเพื่อแก้ไข พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ให้เป็นมาตรฐานสากลโดยเฉพาะในเนื้อหาที่ขัดกับหลักการเรื่องการจัดตั้งองค์กรของลูกจ้างและนายจ้างโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ และยังมีเนื้อหาในการให้อำนาจรัฐในการแทรกแซงการทำงานขององค์กรแรงงาน

 

นอกจากนี้รัฐบาลควรรับรองอนุสัญญาฉบับที่ 87 และฉบับ 98 ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับลูกจ้างและทำให้ระบบแรงงานสัมพันธ์ในสถานประกอบการมีความเป็นธรรมมากขึ้นและเป็นพื้นฐานของการสร้างประชาธิปไตยในสถานประกอบการและเศรษฐกิจ รัฐบาลควรปฏิรูประบบแรงงานสัมพันธ์ให้เชื่อมโยงกันทั้งในระดับสถานประกอบการ ระดับอุตสาหกรรมและระดับชาติ

“อนุสรณ์” ห่วง \"กองทุนประกันสังคม\" มีปัญหาหากจ่าย 75% ขึ้นไป

การปฏิรูประบบแรงงานสัมพันธ์ให้ดีขึ้นจะช่วยทำให้การจัดการกับข้อพิพาทแรงงานและความขัดแย้งด้านแรงงานอย่างเป็นระบบและมีความเป็นสถาบัน จะทำให้เกิดสันติธรรมในระบบเศรษฐกิจและสังคมในที่สุด การป้องปรามไม่ให้เกิดข้อพิพาทไม่ใช่การออกคำสั่งห้ามไม่ให้ลูกจ้างหยุดงาน หรือ คำสั่งห้ามไม่ให้นายจ้างปิดงาน เพราะในที่สุดแล้ว เมื่อเกิดวิกฤติเลิกจ้างมันจะห้ามไม่ได้ แต่ต้องสร้างความเป็นธรรมในระบบแรงงานสัมพันธ์ซึ่งเป็นเนื้อเดียวกับความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ การสร้างอำนาจต่อรองอันสมดุลในตลาดแรงงานจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตออย่างแท้จริง

 

สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในระยะ 2 ปีข้างหน้านับจากนี้ คือ สถานการณ์การทยอยเลิกจ้างแรงงานโดยกลุ่มแรงงานอิสระ แรงงานรายวันและกลุ่มแรงงานในบริษัทเหมาช่วง แรงงานในภาคท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่องจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด

 

หากกิจการหรือบริษัทเหมาช่วงใดไม่อยู่ในภาวะที่สามารถจ่ายค่าชดเชยให้แรงงานได้เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย บริษัทต้นทาง (นายจ้างชั้นต้น) ต้องร่วมจ่ายชดเชยให้แรงงาน กฎหมายกำหนดให้นายจ้างชั้นต้นเป็นลูกหนี้ร่วมกับบริษัทรับเหมาช่วงกรณีหลีกเลี่ยงไม่จ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างแรงงานเหมาช่วง

 

ขณะนี้มีบริษัทเหมาช่วงจำนวนมากไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยให้ลูกจ้างได้จากภาวะล้มละลายและบริษัทต้นทาง (นายจ้างชั้นต้น บริษัทที่จ้างบริษัทเหมาช่วงอีกทอด) จำนวนหนึ่งบ่ายเบี่ยงที่จะจ่ายค่าชดเชยอันเป็นภาระผูกพันตามกฎหมายเนื่องจากประสบปัญหาทางการเงิน