เจาะคดี 3 แกนนำ พปชร. กลุ่มหนุนยึดพรรค

แรงเสียดทานภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ดูจะ “พักรบ” เมื่อ บิ๊กตู่-พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกฯ และรมว.กลาโหม เชิญทั้ง นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และหัวหน้าพรรค  และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรค พปชร.เข้าพบ พร้อมกำชับให้เดินหน้าทำงานในหน้าที่ตัวเองต่อไปให้ดีที่สุด เพราะไม่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในรัฐบาล และพรรคขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากไล่เลียงบุคคลที่อยู่เบื้องหลังต้องการ “ยึดพรรคพลังประชารัฐ” ต่างเต็มไปด้วย “บาดแผล” และมี “ชนักปักหลัง” ไม่ว่าจะเป็น นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ รองหัวหน้าพรรค และ นายวิรัช รัตนเศรษฐ

“สันติ”พันเยียวยาเสื้อแดง

เริ่มที่ สันติ พร้อมพัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เคยตกเป็นจำเลยในขณะเป็น รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในคดีที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อนุมัติการจ่ายเงินเยียวยาให้ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองระหว่างปี 2548-2553 วงเงินประมาณ 1.9 พันล้านบาท  (1,921,061,629 บาท)

โดยในปี 2560 คณะอนุกรรมการไต่สวน ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติแจ้งข้อกล่าวหา นางสาวยิ่งลักษณ์ และอดีตคณะรัฐมนตรีรวม 34  คน ฐานหลีกเลี่ยงละเว้นไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.งบประมาณปี 2502 มีการออกหลักเกณฑ์และอัตราเยียวยาคนเสื้อแดงขึ้นมาใหม่ ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีกฎหมายใดรองรับ และไม่ใช่การจ่ายเงินกรณีที่ฉุกเฉินหรือจำเป็น

กระทั่งวันที่ 20 สิงหาคม 2562 พล.ต.อ.วัชรพล ประสาร ราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ระบุถึงความคืบหน้าในคดีดังกล่าวว่า คดีมีความคืบหน้าไปมาก คาดว่าจะสรุปสำนวนได้ภายในสิ้นปี 2562 แต่กระทั่งจนถึงขณะนี้คดีก็ยังค้างอยู่ที่ ป.ป.ช.

โยก“ถวิล”ไม่เป็นธรรม

อีกคดีที่ทำให้ สันติ ต้องพ้นจากตำแหน่งรมว.พัฒนาสังคมฯ พร้อมกับยิ่งลักษณ์ และรัฐมนตรี รวม 10 คน เนื่องจากการโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยไม่เป็นธรรม

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัย กรณี นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ขอให้ศาลพิจารณาสถานภาพความเป็นรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์ และรมต. 10 คน ให้สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7) หรือไม่ จากกรณีโยกย้ายนายถวิลออกจากเลขาธิการ สมช. เป็นการใช้อำนาจที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีวาระซ่อนเร้น เร่งรีบ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร

ทั้งยังใช้เอกสารที่ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงวันที่ เพื่อปกปิดความจริงบางอย่าง ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางราชการ เชื่อได้ว่าย้าย นายถวิล เพื่อให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นเครือญาติ ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ขณะที่ สันติ เป็น 1 ใน 10 รมต.ที่ร่วมมีมติในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2554 ด้วย จึงมีส่วนร่วมในการก้าวก่ายและแทรกแซงข้าราชการประจำ อันเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 ประกอบ มาตรา 266 (2) (3) เป็นเหตุให้ความเป็นรมต.ต้องสิ้นสุดเป็นการเฉพาะตัวด้วย

“วิรัช”พันคดีผักสวนครัว

ขณะที่ วิรัช รัตนเศรษฐ เคยถูกขุดคุ้ยโครงการผักสวนครัวรั้วกินได้ เมื่อเดือนกันยายน 2541 ขณะนั่งเก้าอี้ รมช.เกษตรและสหกรณ์ พรรคชาติไทยโดยวิรัช นำเงินงบประมาณ 500 ล้านบาท มาจัดซื้อเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัว เช่น มะเขือเปราะ บวบ พริกขี้หนู เป็นต้น เพื่อนำไปให้ชาวบ้านปลูกไว้กินเอง

โครงการนี้ถูกตรวจสอบพบว่า ใช้วิธีพิเศษในการจัดซื้อเมล็ดพันธุ์พืช ได้ราคาแพงกว่าเมล็ดพันธุ์พืชชนิดเดียวกันที่ขายอยู่ตามท้องตลาดอย่างตํ่า 2 เท่า เป็นผลให้ต้องสูญเสียงบประมาณแผ่นดินหลายร้อยล้านบาทโดยเปล่าประโยชน์

แม้ต่อมา วิรัช ในฐานะรัฐมนตรีที่เซ็นอนุมัติโครงการ ต้องจำนนต่อหลักฐานและข้อเท็จจริง แต่รัฐบาลขณะนั้น ซึ่งมีชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ ทำได้เพียงกดดันให้วิรัชลาออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยทั้งนํ้าตา และถึงวันนี้ยังไม่สามารถหาผู้ทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมายแต่อย่างใด

รอลุ้นคดีสนามฟุตซอล

กรณีคดีทุจริตการจัดสรรงบประมาณเพื่อทำการก่อสร้างสนามฟุตซอลในพื้นที่เขตการศึกษาเขตที่ 2 จ. นครราชสีมา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นอีกคดีที่ ป.ป.ช. มีมติ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2562 ชี้มูลความผิด วิรัช พร้อมด้วย นางทัศนียา รัตนเศรษฐ ส.ส. นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ นางทัศนาพร เกษเมธีการุณ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลห้วยแถลง จ.นครราชสีมา (ปัจจุบันเป็น ส.ส.นครราชสีมา พรรคพปชร.) กับพวกบิ๊กข้าราชการ รวม 24 ราย

เหตุเกิดในช่วงที่มีการจัดทำงบประมาณปี 2555  วิรัช, นางทัศนียา และ นางทัศนาพร ได้สั่งการให้พวก ของตน เข้าไปประสานกับผู้อำนวยการโรงเรียนต่างๆ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 เพื่อจัด สรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลให้ โดยเข้าไปครอบงำ งบการใช้จ่ายงบประมาณในวงเงินดังกล่าวโดยปราศจากอำนาจตามกฎหมาย อันเป็น การต้องห้ามตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 168

กรณีดังกล่าว วิรัช ได้ร้องขอความเป็นธรรม พร้อมยื่นหลักฐานชี้แจงต่อ ป.ป.ช. โดยอ้างว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเท็จ ขณะที่ต่อมามีการชี้แจงจาก ป.ป.ช.ว่า พยานหลักฐานที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.ไม่มีนัยสำคัญเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมให้ยกคำร้องของวิรัช

ล่าสุด มีรายงานว่า ในคดีนี้ ป.ป.ช.เตรียมที่จะชี้มูลในเร็วๆ นี้ หากพบมีความผิด ป.ป.ช.ก็จะส่งสำนวนการไต่สวน พร้อมเอกสาร หลักฐาน ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป

“ณัฏฐพล”ติดคดีกบฎ

ช่วงเกิดวิกฤตการณ์การเมืองไทย ปี 2556-2557 ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ได้เข้าร่วมเป็นแกนนำในการชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่มี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ

ต่อมาวันที่ 14 พฤษภาคม 2557 ศาลอาญาอนุมัติหมายจับแกนนำ กปปส. รวม 43 คน ผู้ต้องหาคดีกบฏ และความผิดอื่น รวม 8 ข้อหา ปัจจุบันคดียังไม่ถึงที่สุด

รอวินิจฉัยถือหุ้นสื่อ

นอกจากนั้น ณัฏฐพล เป็นหนึ่งใน 41 ส.ส.พรรครัฐบาล ที่ถูกปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ยื่นคำร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบกรณีถือครองหุ้นสื่อ บริษัท แปซิฟิค เอ็กซ์คลูซิฟ ซิตี้ คลับ จำกัด วัตถุประสงค์ข้อ 19 ของบริษัท ระบุว่า ประกอบกิจการโรงพิมพ์ รับพิมพ์หนังสือพิมพ์หนังสือจำหน่าย และออกหนังสือพิมพ์ ทำให้มีคุณสมบัติต้องห้ามเป็น ส.ส.หรือไม่ 

คดีนี้รอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,573 วันที่ 10-13 พฤษภาคม 2563