ปัตตานี เห็นชอบจัดละหมาดที่มัสยิดได้เริ่มศุกร์ที่ 22 พ.ค.

05 พ.ค. 2563 | 23:21 น.

ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อปัตตานี เห็นชอบเปิดละหมาดในวันศุกร์ที่ 22 พ.ค.

นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดปัตตานี ครั้งที่ 13/2563 เพื่อติดตามสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของจังหวัดปัตตานี ในขณะนี้อยู่ในสถาวการณ์ที่สามารถความคุมได้ มียอดผู้ติดเชื้อคงอยู่ที่ 91 ราย เป็นเวลา 14 วัน ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่โรงบาลในจังหวัด 5 ราย กลับบ้านแล้ว 85 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย ส่วนประเด็นสำคัญอื่น ๆ คือ เรื่องการผ่อนปรนให้ปฏิบัติศาสนกิจละหมาดวันศุกร์ ตามประกาศของจุฬาราชมนตรี ฉบับที่ 5/2563 นั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ร่วมกับกรรมการประจำมัสยิด ว่ามีความพร้อมในการจัดละหมาดตามกรอบที่กำหนดได้เมื่อไหร่

 

ปัตตานี เห็นชอบจัดละหมาดที่มัสยิดได้เริ่มศุกร์ที่ 22 พ.ค.

 

 ในส่วนคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนั้น เห็นชอบว่าเวลาที่เหมาะสม ที่จะละหมาดวันศุกร์ได้ คือ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของมัสยิด ที่จะจัดการละหมาดวันศุกร์ให้เกิดความเรียบร้อย โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ได้ตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ หากมีการไปร่วมละหมาดเกินจำนวนที่ทำเครื่องหมายไว้ เพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม 1.5-2 เมตร จะทำอย่างไร ทางกรรมการอิสลามต้องเตรียมการไว้ ตั้งแต่การเข้า-ออก มัสยิด ว่าจะมีการจัดการอย่างไร การบริหารเวลาละหมาดที่เหมาะสม ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ได้กล่าวถึงประเด็นการผ่อนผันตามมาตรการของรัฐบาล ตั้งแต่เรื่องตลาด ร้านน้ำชา ร้านอาหาร สนามกีฬา ที่ออกกำลังกายได้ ในตรงนี้ก็เห็นว่าเป็นสีขาว ก็จะเริ่มการผ่อนผันได้ ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม เป็นต้นไป โดยต้องดำเนินการตามมาตรการหลักและมาตรการเสริม ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างทางสังคม การล้างมือ ตามวิธีปฏิบัติที่สอดคล้องกันของกิจการแต่ละประเภท รวมถึงในการละหมาดวันศุกร์ มีความจำเป็นถือว่าได้บุญมากในห้วงเดือนรอมฎอน และในการประชุมวันนี้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดปัตตานี ได้อนุมัติการใช้จ่ายเงินทดรองราชการในเชิงป้องกัน หรือยับยั้งภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการดำเนินการในเชิงป้องกัน หรือระงับยับยั้งภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ให้กับอำเภอและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เป็นครั้งที่ 5 ในวงเงินประมาณ 1 ล้าน 7 แสนบาท ด้วย