ไทยแอร์เอเชีย-ไลอ้อนแอร์ ยันเปิดบินในประเทศ 1 พ.ค.นี้

จากการสำรวจของ “ฐานเศรษฐกิจ” พบว่าขณะนี้มีสายการบินต้นทุนต่ำ 2  สายการบินแสดงความสนใจที่จะกลับมาเปิดเส้นทางบินในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ โดยสายการบินที่แสดงความสนใจได้แก่ สายการบินไทยแอร์เอเชีย และ สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ รวมกับสายการบินที่เปิดให้บริการอยู่แล้วคือ นกแอร์ และสายการบินไทยเวียตเจ็ต จะทำให้มี 4 สายการบินในประเทศที่เปิดบริการในเดือนหน้านี้ ขณะที่ไทยสมายล์ ประกาศจะกลับมาเปิดให้บริการเส้นทางบินภายในประเทศในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ 

เบื้องต้นคาดว่าจะมีเที่ยวบินในราว 30 เที่ยวบิน ในเดือนพฤษภาคม และเปิดบินเฉพาะหัวเมืองหลักที่มีการผ่อนคลายมาตรการ ล็อกดาวน์  โดยจะให้บริการจากสนามบินดอนเมืองไปยัง สนามบินลำปาง แม่สอด พิษณุโลก บุรีรัมย์ สกลนคร นครพนม ร้อยเอ็ด ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี ตรัง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี กระบี่ ส่วนใหญ่เป็นจังหวัดหัวเมืองใหญ่ และคนยังมีการเดินทาง 

นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า จะกลับ มาเปิดเส้นทางบินในประเทศอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมเพื่อรองรับผู้โดยสารที่มีความจำเป็นในการเดินทาง ทั้งการกลับบ้านหรือภาคธุรกิจ  อาทิ เส้นทางดอนเมืองสู่ เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี นครพนม ร้อยเอ็ด นครศรีธรรมราช ตรัง หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี และเส้นทางข้ามภาค เชียงใหม่-หาดใหญ่ เป็นต้น 

ทางด้าน สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ ช่วงแรกจะเปิดให้บริการ 6 เส้นทาง อาทิ เชียงใหม่, หาดใหญ่, สุราษฎธานี เป็นต้น 

อย่างไรก็ดีการเปิดเส้นทางบินดังกล่าวสายการบินต่าง ๆ จะต้องปฏิบัติตามมาตรการคุมเข้มการระบาดโควิด-19 อย่างเข้มงวดไม่ว่ามาตรการขายที่นั่งเว้นที่นั่งจะส่งผลต่อความเสี่ยงที่จะไม่คุ้มทุน แต่คาดว่าจะสามารถขายตั๋วโดยสารได้ในราคาที่สูงกว่าที่ผ่านมาการเว้นระยะห่างผู้โดยสารบนเครื่อง แบบที่นั่งเว้นที่นั่ง

โดยสายการบินจะจำหน่ายและควบคุมปริมาณที่นั่งในการเดินทางที่เหมาะสมในทุกเที่ยวบินตามข้อกำหนดไม่เกิน 60 % ผู้โดยสารทุกคนที่เดินทาง จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา งดบริการอาหาร มีการตรวจวัดอุณหภูมิที่ประตูขึ้นเครื่อง พบไข้สูง37.5 อาจปฏิเสธ การเดินทาง ให้นำเฉพาะกระเป๋าถือหรือกระเป๋าคอมพิวเตอร์ น้ำหนักไม่เกิน 5 กิโลกรัมขึ้นเครื่องได้ 1 ใบ

ส่วนลูกเรือที่ปฏิบัติหน้าที่บนเที่ยวบิน  จะได้รับการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายในทุกๆ ครั้ง สวมอุปกรณ์ป้องกัน ได้แก่ หน้ากากอนามัย แว่นตา และถุงมือ ตลอดการให้บริการ