"ทรัมป์"งัดผู้ว่าการรัฐ ยันปธน.มีอำนาจเต็ม สั่งเปิดเศรษฐกิจ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความวานนี้ (13 เม.ย.)  ระบุว่า เขาเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจในการสั่งเปิดเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่ผู้ว่าการรัฐ       

ข้อความในทวิตเตอร์ของทรัมป์ระบุว่า ทั้งรัฐบาลและตัวเขาเองกำลังทำงานกันอย่างใกล้ชิดกับบรรดาผู้ว่าการรัฐ เขาเปิดรับข้อมูลจากฝ่ายต่าง ๆ และจะตัดสินใจในเร็ว ๆ นี้ เกี่ยวกับการเปิดเศรษฐกิจสหรัฐฯ อีกครั้งหลังมาตรการล็อคดาวน์ในหลายพื้นที่ และนั่นก็จะเป็นการตัดสินใจของประธานาธิบดี

ทางด้านนายแพทย์แอนโทนี ฟอซี ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า เขามีความเชื่อมั่นว่าการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯกำลังชะลอตัวลง และเศรษฐกิจในบางภาคส่วนของประเทศก็น่าจะสามารถกลับมาเปิดดำเนินการในเดือนหน้า (พ.ค.)

อย่างไรก็ดี เขาย้ำว่า ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าทั้งประเทศสหรัฐฯ จะสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจตามปกติอย่างฉับพลันทันใด ที่ผ่านมา ภาคธุรกิจของสหรัฐฯได้พากันปิดกิจการภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้มีการปลดพนักงานเป็นจำนวนมาก แต่มาตรการดังกล่าวก็จำเป็นสำหรับการควบคุมโรค เช่นในรัฐนิวยอร์คที่มียอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุด ทางผู้ว่าการรัฐได้ประกาศบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มข้น

ขณะเดียวกัน บางมลรัฐก็มีท่าทีที่ผ่อนคลายมากกว่า เช่นมลรัฐทางฝั่งตะวันตกของประเทศ ซึ่งได้แก่แคลิฟอร์เนีย โอเรกอน และวอชิงตัน ได้ประกาศความร่วมมือกับวิสัยทัศน์ในการเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งของประธานาธิบดีทรัมป์

นายกาวิน นิวซัม นางเคท บราวน์ และนายเจย์ อินส์ลี ผู้ว่าการรัฐของ 3 รัฐดังกล่าวข้างต้น ออกแถลงการณ์ร่วมว่า ในสัปดาห์หน้า ฝั่งตะวันตกจะพลิกโฉมโควิด-19 ด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของแต่ละรัฐ เพื่อสร้างหลักประกันว่าไวรัสจะไม่แพร่ระบาดในวงกว้างในชุมชนต่างๆ

"เราขอประกาศว่า แคลิฟอร์เนีย โอเรกอน และวอชิงตัน เห็นพ้องที่จะร่วมมือและแบ่งปันแนวทางในการเปิดเศรษฐกิจของเราอีกครั้ง ซึ่งเป็นเครื่องชี้ชัดว่าชุมชนของเราจะเริ่มกลับมาใช้ชีวิตและทำธุรกิจตามปกติ"

แถลงการณ์ของ 3 ผู้ว่าการรัฐยังระบุว่า ในฐานะบ้านของชาวอเมริกันกว่า 1 ใน 6 ของประเทศ และเป็นประตูออกไปสู่โลก รัฐฝั่งตะวันตกจะเดินหน้าควบคุมการแพร่ระบาดและเอาชนะโควิด-19 ให้ได้ โดยการตัดสินใจใด ๆ จะยึดผลลัพธ์ด้านสุขภาพและวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ ไม่ใช่นโยบายการเมือง