เบื้องหลัง มติครม.คอนเฟอเรนซ์ เคาะใช้ "พรก.ฉุกเฉิน"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันอังคาร 24 มี.ค. 63 นับเป็นครั้งประวัติศาสตร์ของการประชุมครม. ที่ใช้รูปแบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ แทนการที่รัฐมนตรีและผู้บริหารส่วนราชการจะต้องมานั่งรวมพร้อมกันในห้องประชุม เพื่อป้องกันแพร่เชื้อไวรัสโคโดโรนา(โควิด-19) เนื่องจากรัฐมนตรีบางคนต้องกักตัวเอง

โดยบรรยากาศการประชุมครม.นัดประวัติศาสตร์วันนี้ เริ่มต้นในเวลา 09.00 น.ตามปกติ ไม่มีกิจกรรมใดใดมาประชาสัมพันธ์ที่ด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 เหมือนทุกครั้ง และยังเปลี่ยนห้องประชุม 501 ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 มาเป็นห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 แทนเนื่องจากมีการเซ็ตระบบไว้ที่ห้องนี้ที่มีความทันสมัยกว่า 

ก่อนการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งใส่หน้ากากอนามัยเดินลงจากตึกไทยคู่ฟ้า ท่ามกลางทีมรปภ. แต่เดินเว้นระยะห่าง โดยไม่มีสื่อมวลชนมารุมล้อมได้ถนัด เนื่องจากทำเนียบรัฐบาลออกกฎหมายการทำข่าวไม่ให้เดินตามรุมล้อม  ซึ่งนายกฯตอบคำถามนักข่าวสั้นๆทีถามว่า “วันนี้จะพิจารณาประกาศใช้พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “รอก่อนใจเย็นๆ รอประชุมก่อนนะ”

สำหรับบรรยากาศภายในห้องประชุม 301 จะมีเพียงพลเอกประยุทธ์  รองนายกรัฐมนตรี ได้แก่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายวิษณุ เครืองาม และ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขาธิการกฤษฎีกา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เท่านั้นที่อยู่ในห้องประชุม 301 

ส่วนรัฐมนตรีที่เหลือจะอยู่ประจำกระทรวงของตัวเอง อาทิ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ อยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข อยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข  นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน อยู่ที่กระทรวงพลังงาน ส่วน 3 รัฐมนตรีที่ยังต้องกักตัวเพื่อดูอาการ เนื่องจากไปในพื้นที่เสี่ยงหรือคณะทำงานติดเชื้อไวรัสโคโรนา ได้แก่ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม และร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ก็ยังเข้าร่วมประชุมผ่านระบบคอนเฟอเรนซ์ โดยมีการเชื่อมสัญญาณไปในจุดที่ทั้ง 3 รัฐมนตรีสะดวกในการร่วมประชุมได้ด้วย

รายงานข่าวเปิดเผยว่าบรรยากาศในการประชุมแต่ละวาระใช้เวลาไม่นาน ไม่ยื้อเยื้อ เนื่องจากการประชุมผ่านคอนเฟอเรนซ์จะพูดแทรกขึ้นมาได้ยากกว่าการประชุมแบบเจอหน้ากัน ดังนั้นผู้ที่กล่าวเยอะที่สุดในการประชุมจึงเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่จะต้องขานวาระประชุม และนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องเคาะมติประชุม 

โดยวาระของการพิจารณาการหารือการใช้อำนาจตามพระราชการบริหารราชการแผ่นดินมีการหารือกันในช่วงท้ายก่อนจบการประชุม ซึ่งพลเอกประยุทธ์ได้เริ่มกล่าวอธิบายถึงความจำเป็นในการจะต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงต้องมาขออำนาจและมติจากครม.ก่อน 

ต่อจากนั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย กล่าวอธิบายเสริมให้ครม.ฟังและเข้าใจตรงกันด้วย หากประกาศพรก.ฉุกเฉิน จะทำให้อำนาจทุกอย่างมาอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ในการออกประกาศ แต่งตั้งต่างๆ โดยมีรัฐมนตรีแต่ละคนมีส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรนาไม่ได้หายไปไหน พร้อมกันนี้นายวิษณุก็ได้อธิบายขั้นตอนต่างๆว่าหลังจากนี้ต้องดำเนินการอย่างไร 

จากนั้น พลเอกประยุทธ์ ต้องกดไมค์ถามว่า มีใครจะสอบถามหรือพูดอะไรไหมครับ จนทำให้มีรัฐมนตรีบางคนที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุม เสนอว่าขอให้พิจารณาประกาศ พรก.ฉุกเฉิน แค่1เดือนก่อนจะได้หรือไม่ เพราะสามารถใช้มาตรการอื่นๆคู่ขนานกันไปได้อย่างเช่นการขอความร่วมมือประชาชนในการลดการเดินทาง การทำงานเหลื่อมเวลา การทำงานที่บ้าน  

จากนั้นพลเอกประยุทธ์ก็ยืนยันและขอให้รัฐมนตรีทุกคนมั่นใจว่านี่ไม่ใช่การปิดเมือง ไม่ใช่การปิดประเทศ เพราะจะไม่ใช้มาตรการสูงที่สุดในทันที แต่จะค่อยๆเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆหากมีความจำเป็น จากนั้นจึงขอมติและทุกคนเห็นชอบด้วย