นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อลดผลกระทบของประชาชนจากปัญหาโควิด-19 และปัญหาภัยแล้ง 4 มาตรการเร่งด่วน โดยจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 10 มีนาคม 63 นี้ประกอบด้วย 1.การคืนเงินค่าประกันการใช้ไฟฟ้า หรือประกันมิเตอร์จำนวน 22.5 ล้านรายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 (ที่อยู่อาศัย) และประเภทที่ 2 (กิจการขนาดเล็ก) โดยแต่ละรายจะได้รับเงินคืนจำนวนเท่าใดขึ้นอยู่กับการวางวงเงินประกันไว้เท่าไหร่ตอนยื่นขอมิเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งจะทยอยคืนได้ในรอบเดือนมีนาคมนี้กับการไฟฟ้าที่ยื่นขอ ไม่ว่าจะเป็นการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยคาดว่าจะมีเงินคืนเข้าสู่ระบบประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
“หากถามว่าจะกระทบกับการไฟฟ้าอย่างไรบ้างนั้น มองว่าคงจะไม่กระทบ เพราะเงินเหล่านี้เดิมทีจะถูกเก็บไว้เป็นเงินประกัน ดังนั้น เมื่อประชาชนเดือดร้อน รวมถึงได้มีคณะกรรมการด้านปฏิรูปไปศึกษาในการมีขข้อเสนอดังกล่าว และเห็นพ้องต้องกันที่จะบรรเทาภาระประชาชนในการคืนเงินประกันที่เก็บรักษาไว้ที่การไฟฟ้า เพื่อช่วยในภาวะที่กำลังเดือดร้อน”
,2. การลดค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือเอฟที (Ft) โดยรวม 23.2 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะทำให้ค่าไฟที่เรียกเก็บจากประชาชนโดยรวม (รวมค่าไฟฐาน) คงอยู่ที่ 3.50 บาทต่อหน่วยเป็นเวลา 3 เดือน (เม.ย.-มิ.ย. 63) โดยเป็นการบริหารจัดการในส่วนของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานที่ได้นำเงินจากการไฟฟ้าลงทุนไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ (Call Back) และเงินช่วยเหลือจาก กฟภ. และ กฟน. อีก 4,800 ล้านบาท รวมประมาณเกือบ 1 หมื่นล้านบาท
"ค่าไฟฟ้ารวมขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 3.60 บาท โดย Ft จะมีการปรับตามทิศทางต้นทุนการผลิตทุก 4 เดือน ซึ่งหากไม่ทำอะไรในงวดต่อไป (พ.ค.-ส.ค.) จะต้องขึ้น 11.60 สตางค์ต่อหน่วย หรือค่าไฟรวมจะขึ้นไปอยู่ที่ 3.70 บาทต่อหน่วย จึงนำเงินมาดูแลไม่ให้ขึ้นและนำเงินอีกส่วนหนึ่งมาทำให้ลดลงอีก 11.60 สตางค์ต่อหน่วย และทำให้ค่าไฟรวมลดลงมาอยู่ที่ 3.50 บาทต่อหน่วย"
,3.ขยายเวลาชำระค่าไฟฟ้า 2 รอบบิล ได้แก่ เดือนเมษายนและเดือนนพฤษภาคมออกไปได้นาน 6 เดือนให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 ,รวมถึงประเภทที่ 2 และประเภทที่ 5 (โรงแรม) ซึ่งได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวจากปัญหาโควิด-19
และ4.จะมีเงินเบื้องต้นจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าประมาณ 4 พันล้านบาท โดยเงินทุนดังกล่าวเดิมทีจะใช้ในการดำเนินการอยู่ 72 จังหวัด เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในพื้นที่ แบ่งเป็นงบปี 63 ประมาณ 2.5 พันล้านบาท และเป็นงบปี 62 คงเหลือประมาณ 1.5 พันล้านบาท โดยนำไปใช้ในการสร้างงาน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ไม่ว่าจะเป็นการขุดรอกคูคลอง ขุดบ่อบาดาล เป็นต้น ซึ่งจะมีผลต่อการแก้ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นด้วย โดยจะเป็นนำโครงการเดิมทั้งหมดมาพิจารณาในการการเร่งการจัดซื้อจัดจ้าง และการปรับโครงการให้สอดรับกับนโยบายดังกล่าว
“งบประมาณเบื้องต้นจะอยู่ที่ 4 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะมีงบประมาณเข้ามามากกว่านี้จากหน่วยงานอื่น โดยที่โดยที่กระทรวงพลังงานจะบูรณาการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปลัดกระทรวงพลังงานจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือต่อไป โดยเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินลงไปเพื่อไปสร้างงาน ซึ่งจะเป็นโครงการคล้ายกับโครงการมิยาซาว่าที่เคยทำมาในอดีต ซึ่งกระทรวงพลังงานได้รับมอบหมายให้เป็นแม่งานในการดำเนินการ อย่างไรก็ดี จากมาตรการทั้งหมดคคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 4.5 หมื่น้ลานบาท”