น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อย่างมากกับคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่ออกมา สำหรับการไต่สวน สะดวก รวดเร็ว เพื่อเอาผิดกับส.ส.ที่ “เสียบบัตรแทนกัน” ในการโหวตลงคะแนนร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563
เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัย “เปิดทาง” เอาไว้แล้วว่า “การกระทำโดยไม่สุจริตใช้สิทธิออกเสียงลงมติ แทนผู้ที่ไม่ได้อยู่ร่วมประชุมด้วยนั้น เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็นส.ส. ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในอาณัติมอบหมายของผู้ใด และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 ทั้งสมาชิกคนหนึ่งย่อมมี 1 เสียงในการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 วรรค 3 และการออกเสียงลงคะแนนจะกระทำแทนกันมิได้ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 80 วรรค 3
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า ในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2563 เวลา 19.30 น. ถึงวันที่ 11 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นการพิจารณาวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ปรากฏการแสดงตนและลงมติของ นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ทั้งที่นายฉลอง รับเองว่าตนไม่อยู่ในที่ประชุมตามวันและเวลาดังกล่าว การที่ส.ส.มิได้อยู่ในห้องประชุม แต่ปรากฏว่ามีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติแทน ย่อมมีผลเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต ทำให้ผลการลงมติร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ในวันและเวลาดังกล่าวไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม และไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ”
ศาลรัฐธรรมนูญ ระบุไว้ด้วยว่า “ส่วนบุคคลใดจะต้องรับโทษอย่างไรหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป”
ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า “คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ”
นั่นหมายความว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพัน ป.ป.ช.ด้วย
ก่อนหน้านี้ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นคำร้องเพื่อให้ป.ป.ช. ตรวจสอบเอาผิด 3 ส.ส.พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และ 1 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จากกรณีเสียบบัตร แทนกัน ประกอบด้วย
1.นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง และ นางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย ซึ่งไม่อยู่ในที่ประชุม แต่ปรากฏว่ามีชื่อเป็นผู้ลงคะแนนเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าว
นอกจากนั้นยังมีพฤติการณ์ เสียบบัตรลงคะแนนแทนกันของ นายสมบูรณ์ ซารัมย์ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย และ น.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่ได้นำบัตรมาเสียบกดลงคะแนนรับร่างกฎหมายดังกล่าวด้วย
สำหรับโทษกรณีเสียบบัตรแทนกัน หากป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิด ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ไว้ก่อน จนกว่าศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตัดสินออกมาว่ามีความผิด ถึงจะต้องพ้นจากเก้าอี้ส.ส. และมีโทษทางอาญา คือ จำคุกสูงสุดไม่เกิน 10 ปี ปรับสูงสุด 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สถานการณ์ ณ ตอนนี้ ข้อเท็จจริงว่า “เสียบบัตรแทนกัน” ผิด-ไม่ผิด จบไปแล้ว เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้แล้วว่า “ไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ”
เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้จึงเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่จะดำเนินการไต่สวน เพื่อเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการ “เสียบบัตรแทนกัน” ต่อไป...