นายบุญญพัฒน์ บัวสกุลพัฒน์ ผู้ถือหุ้น บริษัท โฟลอาร์ต จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเป๋าผ้าแบรนด์ “โคโค่ชิค (Cocochic)” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กลยุทธ์การทำตลาดของบริษัทปีนี้จะสวนทางกับผู้ประกอบการรายอื่นโดยสิ้นเชิง ซึ่งส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการรุกตลาดทางด้านออนไลน์ แต่ของบริษัทจะหันมามุ่งเน้นการทำตลาดแบบออฟไลน์เป็นหลัก จากเดิมที่บริษัททำตลาดผ่านออนไลน์มาแล้วกว่า 10 ปีทั้งผ่านช่องทางของเว็บอะเมซอน (www.Amazon.com) และอีเบย์ (ebay)
ทั้งนี้ การปรับกลยุทธ์ดังกล่าวเกิดจากแนวคิด และวิสัยทัศน์ของบริษัทที่เล็งเห็นแล้วว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เข้ามาสู่ตลาดออนไลน์กันมากขึ้น ทำให้ตลาดการแข่งขันรุนแรงมากกว่าที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกันกลับเพิ่มพื้นที่ทางการตลาดออฟไลน์ให้เปิดกว้าง และมีคู่แข่งลดลง อีกทั้งส่วนใหญ่ช่องทางการจำหน่ายของบริษัทยังอยู่ในห้างสรรพสินค้า
เช่น สยามพารากอน, ไอคอนสยาม,เอ็มโพเรียม และเอ็มควอเทียร์ เป็นต้น ซึ่งบริษัทมองว่าวิถีการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคคนไทย และชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาจะนิยมจับจ่ายใช้สอยในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก ด้วยความสะดวกสบายหลายปัจจัย
“ห้างสรรพสินค้าของไทยจะมีความแตกต่างจากของต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นจำหน่ายสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ของประเทศไทยจะมีทั้งร้านอาหาร รวมถึงร้านให้ซื้อวัตถุดิบในการประกอบอาหาร และอาหารสำเร็จรูปให้กลับไปรับประทาน พร้อมทั้งสถานที่พักผ่อน ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากเลือกที่จะเข้ามาใช้บริการ”
อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีแผนที่จะสร้างองค์กรให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อการบริหารจัดการสต๊อกที่เป็นระบบ จากเดิมที่ตนจะต้องทำหน้าที่ทั้งนับสต๊อก และเจรจาธุรกิจ พร้อมกับว่าจ้างผู้รับส่งผลิตภัณฑ์ไปยังจัดจำหน่ายต่างๆ ของแบรนด์ที่ประจำอยู่ โดยเชื่อว่าจะทำให้การทำตลาดของบริษัทมีประสิทธิภาพ จากช่องว่างทางการตลาดที่ถูกเติมเต็มเข้ามาดังกล่าว ซึ่งบางห้างสรรพสินค้าบริษัทยังไม่สามารถส่งผลิตภัณฑ์ไปเติมให้เต็มจำนวนได้
นายบุญญพัฒน์ กล่าวต่อไปอีกว่า จากกลยุทธ์การทำตลาดดังกล่าว เชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาทในปีนี้ โดยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์แบรนด์ Cocochic การเป็นกระเป๋าผ้าที่มีให้เลือก 3 ขนาด ได้แก่ เล็ก, กลาง, ใหญ่ โดยจะมีให้เลือกเพียงแค่ 2 สี คือ ขาวและดำ ซึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้ลูกค้าสนใจเข้ามาเลือกซื้อก็คือ ตัวอักษรบนกระเป๋าที่จะมีตั้งแต่ A-Z โดยที่ลูกค้าสามารถเลือกซื้อให้กับตนเองตามชื่อ และเลือกซื้อเป็นของฝากให้กับบุคคลอื่นได้แบบตั้งใจ และมีคุณค่ากับผู้รับ เพราะมีตัวอักษรที่ตรงกับชื่อระบุชัดเจน
นอกจากนี้ กระเป๋าของแบรนด์ยังมีให้เลือกมากกว่า 160 แบบ (SKU) ด้วยทางเลือกที่มีเป็นจำนวนมากทำให้มีโอกาสในการจำหน่ายมากกว่า อีกทั้งด้วยราคาที่ไม่สูงจนเกินไป สูงสุดราคาอยู่ที่ประมาณ 700 บาท ทำให้สามารถซื้อได้ครั้งละหลายใบโดยไม่ต้องพิจารณามาก และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทุกระดับ
“กระเป๋าของแบรนด์จะเป็นรูปแบบกระเป๋าใบไม่ใหญ่มากสำหรับใส่ด้านในกระเป๋าอีกทีหนึ่ง ทำให้สามารถเข้าได้กับกระเป๋าถือทุกแบรนด์ที่ผู้ซื้อเลือกใช้โดยไม่ไปบดบังภาพลักษณ์ของกระเป๋าไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใดก็ตาม เวลาที่ลูกค้าเปลี่ยนกระเป๋าถือใบใหม่ แต่กระเป๋าของแบรนด์ก็ยังใช้คู่กันได้อยู่ หรือเรียกว่าไม่ได้เป็นคู่แข่งกับแบรนด์ใดในตลาด”
หน้า 8 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3544 วันที่ 30 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2563