สัมภาษณ์
ปัจจัยต่างประเทศ “สงครามการค้า” ที่ถาโถมทั้งปี และรัฐบาลที่เพิ่งมาปฏิบัติงานในครึ่งหลังปี 62 (ตั้งครม.10 ก.ค.62) พ.ร.บ.งบประมาณล่าช้า ล้วนเป็นปัจจัยกดดันให้เศรษฐกิจไทยปี 2562 คาดจะเติบโตเพียง 2.5-2.7% ตํ่าสุดในรอบ 5 ปี นับจากปี 2557 ส่วนเศรษฐกิจปีชวดจะเป็นหนูร่าเริงหรือซึมต่อ “ฐานเศรษฐกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ “ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทรฯ ต่อมุมมองเศรษฐกิจรวมปีนี้
“ประเด็นสำคัญในปี 2563 คืออะไรจะเป็น engine of growth หรือเครื่องยนต์ที่จะดึงเศรษฐกิจไทยให้กลับไปโตขึ้นได้เร็วๆ เพราะสิ่งที่เห็นคือการส่งออกในปี 2562 ติดลบค่อนข้างมาก ทำให้กำลังการผลิตติดลบ โรงงานทยอยปิดตัวกระทบต่อแรงงาน การบริโภคและการลงทุนในประเทศ ดังนั้น “ส่งออก” ปีนี้จึงเป็นทั้งปัจจัยหนุนและปัจจัยลบ ทุกค่ายที่ประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ว่าจะดีกว่าปีที่แล้ว คือต้องให้ส่งออกไม่ติดลบเพราะถ้าติดลบ นั่นหมายถึงเศรษฐกิจจะไม่โต”
ดร.พิพัฒน์ กล่าวต่อว่า บล.ภัทรฯ ให้นํ้าหนักมาเป็นอันดับ 1 คือเศรษฐกิจโลกฟื้น การค้าส่งออกต้องกลับมีเสถียรภาพ แม้ว่าตัวเลขที่ออกมาส่วนใหญ่จะคาดว่าจีดีพีโลกปี 2563 จะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว แต่ข้อสำคัญคือประเทศพัฒนาไม่ว่าสหรัฐฯ ยุโรป จีน และญี่ปุ่น มีอัตราเติบโตช้ากว่าปีที่แล้ว แต่ข้อสำคัญเราคาดว่าการค้าโลกจะดีกว่าปีที่แล้วที่โตช้า ส่วนสำคัญมาจากการเจรจาการค้าสหรัฐฯ กับจีนที่ตกลงกันได้ (ลงนามข้อตกลงเฟสแรก 15 ม.ค. 63) ช่วยให้ปัญหาที่เห็นในปีที่แล้วไม่ทวีความรุนแรง ขณะที่เงินบาทแข็งค่ามาก ยังเป็นปัจจัยกระทบความสามารถในการแข่งขันและเริ่มส่งผลถึงภาคท่องเที่ยวที่ราคาอาจไม่ถูกแล้ว
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย
บล.ภัทรฯ ประเมินส่งออกปี 2563 จะโตแค่ 1% จากปี 2562 ที่คาดติดลบ 5 - 6% หลังบวกต่อเนื่องมา 2 ปี (2560- 2561) และประมาณการว่าเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวกรอบ 2.5-2.8% เทียบกับปีที่แล้วในระดับ 2.4 - 2.5 คือดีกว่าเล็กน้อย ส่วนปัจจัยในประเทศให้นํ้าหนักเป็นเพียงปัจจัยที่จะมาซํ้าเติม ได้แก่
1. รายได้ภาคการเกษตร จากราคาสินค้าเกษตรตกตํ่า ผลกระทบทั้งประเด็นตลาดโลก เงินบาทแข็งค่า และประเด็นเรื่อง “ภัยแล้ง” ระดับนํ้าที่อยู่ในโซนอันตราย ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องตั้งแต่ต้นถึงปลายนํ้า
2. สถาบันการเงินชะลอปล่อยสินเชื่อ ปีที่แล้วทั้งปีสินเชื่อธนาคารพาณิชย์โตเพียง 1-2% เท่านั้น ส่วนปีนี้ คำถามคือธนาคารยังกล้าปล่อยกู้หรือไม่ ถ้า 5 ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ยังไม่กล้าจะปล่อยกู้ เศรษฐกิจก็ยังโต แบบฝืดๆ ถือเป็น Credit crunch (ภาวะที่สถาบันการเงินปล่อยกู้สินเชื่อน้อยลงมากอย่างรวดเร็วหรือกู้จากธนาคารยากขึ้น) ในระดับหนึ่ง ดังนั้นขณะนี้ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง จึงออกมาตรการออกมาช่วยเอสเอ็มอี ปีนี้ก็ต้องดูอีกกลุ่ม กลุ่มรีเทล สินเชื่อบ้านบุคคล (สินเชื่อรถยนต์ บัตรเครดิต) ถ้ารายได้กระทบจะกระทบคุณภาพสินเชื่อหรือไม่ อาจทำให้ธนาคารไม่กล้าเสี่ยงที่จะปล่อยกู้ต่อเนื่อง
3. ประเด็นการเมือง เสถียรภาพการเมืองซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ มองว่าอาจจะมีดาวน์ไซด์ฉุดเศรษฐกิจปีนี้ในระดับหนึ่งได้
“เศรษฐกิจไทยปีนี้ น่าจะฟื้นในไตรมาส 2 และดีขึ้นในไตรมาส 3 ส่วนไตรมาสแรกต้องดูว่ามีโมเมนตัมจากแรงส่งไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ตัวเลขส่งออกในเดือนธันวาคม 2562 เพราะในเดือนพฤศจิกายน 2562 ติดลบกว่า 7% และเรื่องไม่มีพ.ร.บ.งบประมาณ จะเห็นว่าการใช้จ่ายของภาครัฐหดตัวไป 15% ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2562 ซึ่งเป็นการลดลงค่อนข้างมาก หากมีพ.ร.บ.งบประมาณเข้ามาอาจเข้ามาช่วยเรื่องการตกเบิก ก็จะช่วยพยุงเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2563 ได้”
ส่วนปัจจัยบวกในปีนี้ คงต้องลุ้นว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวเร็วกว่าคาด ทำให้เศรษฐกิจเติบโตดีขึ้น หรือความคาดหวังกรณีภาครัฐอาจใช้นโยบายเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาสเกลยังไม่ใหญ่มากพอหรือไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจเท่าที่ควรเช่นบางนโยบายให้ผลไม่ชัดเจน เช่น โครงการ “ชิม ช้อป ใช้” หรือการให้เงินที่ดูเหมือนว่าเป็นนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้ว
“ปัญหาของนโยบายกลุ่มนี้คือถ้าเราบอกว่าให้เงินไปใช้ อย่างผมไปทานอยู่แล้ว สมมติสัปดาห์ละ 1,000 บาท อยู่ดี ๆ ก็เอาเงินมาให้ใช้ 1,000 บาท ผมก็เอาเงินตัวเองไปเก็บเป็นเงินประหยัด ดังนั้นเวลารัฐวัดผลว่าการใช้จ่ายถามว่าเกิดขึ้นไหม เกิดขึ้นแน่ แต่วัดผลไม่ได้ว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตรงนี้รัฐควรมีการวัดผลในแง่เชิงปฏิบัติ ว่ากระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงไหม เพราะเราอาจไปให้คนที่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่หวังว่าลงทุนของภาครัฐ อย่างในอีอีซี แต่ในขั้นตอนปัจจุบัน เม็ดเงินอาจยังไม่ได้ไหลลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ยังเป็นเรื่องการส่งมอบที่ดิน เรื่องการเวนคืนที่ดีมากกว่า จึงหวังไม่ได้ว่าจะมีการกระตุ้น”
ดร.พิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การบริหารการลงทุนขณะนี้อยากให้ระวังการลงทุนในหุ้น (growth stock) ที่พึ่งพาการเติบโตมาก ประเภทพี/อีสูงๆ ต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะหากเศรษฐกิจเติบโตช้ากว่าคาด ก็อาจไม่ได้อย่างที่หวัง ควรลงในหุ้นกลุ่มพื้นฐานที่ให้ผลประกอบการโตมั่นคงต่อเนื่องพี/อี ไม่แพง หรือหุ้นกลุ่มหุ้นปันผลเพื่อเป็นหลุมหลบภัย
หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,540 วันที่ 16-18 มกราคม 2563