24 ตุลาคม 2562 มีการเซ็นสัญญาลงนามในโครงการรถไฟความ เร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เชื่อม 3 สนามบิน มูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาท ระหว่าง กลุ่มซีพี (กลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัดและพันธมิตร) กับ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นสักขีพยานด้วย ที่ทำเนียบ รัฐบาล นับเป็นครั้งแรกของหน้าประวัติศาสตร์ไทยที่ต้องบันทึกไว้
รายการห้องข่าวเศรษฐกิจ NEWSROOM ช่วง ลึก แต่ไม่ลับ กับ บากบั่น บุญเลิศ ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10.30-11.50 น. ตอน มาตามสัญญารถไฟฟ้า 3 สนามบินเปิดทำเนียบเซ็นสัญญากับกลุ่มซีพี ดำเนินรายการโดย บากบั่น บุญเลิศ และ วิลาสินี แวน ฮาเรน เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา พาเจาะลึกผลของการเซ็นสัญญาที่เกิดขึ้นหลังจากนี้
“เงื่อนไขของการลงนามเซ็นสัญญารถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระบุไว้อย่างชัดเจนซึ่งปรากฏอยู่ในร่างหนังสือสัญญาและในเงื่อนไขการประมูลครั้งนี้กำหนดว่า ผู้ที่จะเซ็นสัญญาจะต้องตั้ง SPV ด้วยทุนจดทะเบียน 4,000 ล้านบาท ต้องวางหลักประกันในสัญญา 4,500 ล้านบาท รวมถึงมีหนังสือรับประกันค่าธรรมเนียมการลงนาม จำนวน 80 ล้านบาท เพื่อให้กับ รฟท.และสำนักงานอีอีซี ในฐานะเจ้าของโครงการ และหลังจากที่เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว กำหนดให้ต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 25,000 ล้านบาทหลังจากที่มีการเดินรถแล้วและเคลมเงินจากรัฐบาลได้ รวมถึงต้องรักษาหนี้สินต่อสัดส่วนของบริษัทไว้ที่ 4 ต่อ 1 เพื่อเป็นเครื่องคํ้าประกันว่า โครงการนี้จะไม่ล้ม และสามารถที่จะเรียกร้องจากบริษัทดังกล่าวได้” นายบากบั่น ระบุ
“บริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด” จดทะเบียนเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2562 มีทุนจดทะเบียน SPV อยู่ที่ 40 ล้านหุ้น ประกอบด้วย 1. เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด 70% 2. บริษัท ไชน่า เรลเวย์ คอนสตรั๊คชั่นฯ 10% 3. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ 10% 4. บริษัท อิตาเลียนไทยฯ 5% และ 5. บริษัท ช.การช่างฯ5%
มีกรรมการบริษัท ประกอบด้วย 1. นายศุภชัย เจียรวนนท์ นั่งเป็น ประธานกรรมการบริหาร 2. นายนพปฎล เดชอุดม 3. ม.ล. สุภสิทธิ์ ชุมพล และ 4. นายอติรุฒม์ โตทวีแสนสุข อีก 4 ราย คือ นายเปรมชัย กรรณสูต จากอิตาเลียนไทย, นายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล และนายชาติวุฒิ ตันจันทร์พงศ์ จาก บริษัท ช. การช่างฯ และนายโป หง และนายเหล่ย จั๋ว ตัวแทนจากบริษัทไชน่าเรลเวย์ฯ โดยกรรมการที่มีอำนาจเซ็นสัญญาลงนามผูกพันกับ รฟท.และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการอีอีซี ในครั้งนี้ คือ 1. นายศุภชัย เจียรวนนท์ 2. นายนพปฎล เดชอุดม 3. ม.ล.สุภสิทธิ์ ชุมพล และ 4. นายโป หง
ช่วงหนึ่งในรายการ นายบากบั่น พาย้อนเวลากลับไปดูคำให้สัมภาษณ์หลายครั้งของ “เจ้าสัวธนินท์” หลังจากมีความพยายามจากภาครัฐที่จะขับเคลื่อนโครงการนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ โดยเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2562 เจ้าสัวธนินท์ บอกกับสังคมว่า “ซีพี ทำธุรกิจในประเทศไทย บนแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ จึงมีหน้าที่ต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ดังนั้นต้องทำโครงการนี้ให้สำเร็จ ไม่ใช่ไปรับมาแล้วทำไม่สำเร็จก็จะกลายเป็นภาระของประเทศ”
เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2562 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประกาศกร้าวว่า
“ถ้าไม่ลงนามจะถูกขึ้นบัญชีดำ ปิดกั้นการประมูลงานในอนาคตเพราะเป็นผู้ทิ้งงานและจะริบเงินประกันซองราคา 2,000 ล้านบาททันที”
ต่อมาในวันที่ 3 ตุลาคม 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ ออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ว่า ... “กลุ่มซีพีก็ชนะการประมูลมาจะครบปีแล้ว จำเป็นต้องเดินหน้ากันเสียที”
กระทั่งในวันที่ 6 ตุลาคม 2562 เจ้าสัวธนินท์ ออกมาบอกว่า “ถามว่า เสี่ยงไหม เสี่ยง ถามว่ามีโอกาสสำเร็จไหม มี ถ้ารัฐบาลเข้าใจ...รัฐบาลต้องมาร่วมรับผิดชอบด้วยกันกับเอกชน ถ้าเสี่ยง คู่ชีวิตก็เสี่ยงด้วยกัน ถ้าจะล่มก็ต้องล่มด้วยกัน ไม่ใช่เอกชนเสี่ยง รัฐบาลไม่เสี่ยง”
3-4 วันถัดมา นายอนุทิน รองนายกฯ ประกาศยํ้ากับกลุ่มซีพีอีกครั้งว่า “เอาปากกามาด้ามเดียวแล้วเซ็นสัญญา กล้าๆ หน่อยพร้อมสนับสนุนทุกอย่างให้ทำงานโดยสะดวก ราบรื่น ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่พูดเยอะ เจ็บลิ้นไก่” นี่เป็นเพียงฉากแรกของการต่อสู้กว่าจะได้มาซึ่งการเซ็นสัญญาโครงการประวัติศาสตร์มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ในวันที่ 24 ตุลาคมนี้เท่านั้น
ฉากต่อไปที่ต้องจับตา คือ การส่งมอบพื้นที่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ช่วงพญาไท-สุวรรณภูมิ และลาดกระบัง-อู่ตะเภา ระยะทาง 170 กิโลเมตร โดยพร้อมส่งมอบพื้นที่ทั้งหมดภายใน 1 ปี 3 เดือน หรือไม่เกิน 2 ปี หลังลงนามเซ็นสัญญาร่วมทุน และช่วงพญาไท-ดอนเมือง ภายใน 2 ปี 3 เดือน หรือไม่เกิน 4 ปี
“ถ้าสามารถส่งมอบช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ภายในปีนี้ ก่อสร้างเสร็จ ซีพีจะขอบริการและเดินรถ และขอเคลมเงินจากรัฐ จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ต้องส่งมอบและเดินรถได้ทั้งเส้นทาง แต่มีการขอตัดเป็นช่วงๆ ดังกล่าว โดยฉากที่ 3 ที่จะสู้กันก็คือ การส่งมอบพื้นที่ไฮสปีดระยะทาง 28 กิโลเมตร ในส่วนของพญาไท-สุวรรณภูมิ (เส้นทางแอร์พอร์ตเรลลิงค์) ซึ่งต้องทำทันที
ฉากที่จะต่อสู้กันอย่างรุนแรงอยู่ที่การส่งมอบพื้นที่แอร์พอร์ตเรลลิงค์นี่เอง ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการเมื่อเซ็นสัญญาเสร็จแล้ว โดยซีพีจะต้องส่งมอบเงินกว่า 10,000 ล้านบาทให้กับ รฟท. และซีพีจะสามารถเดินรถไฟฟ้าในเส้นทางนี้ได้ทันที ซึ่งปัจจุบันสามารถเก็บค่าโดยสารได้ประมาณ 240-1,000 ล้านบาทต่อเดือน กล่าวคือ กลุ่มซีพีสามารถเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านได้ทันทีระหว่างรอ รฟท.ส่งมอบพื้นที่ในแต่ละช่วง
“เชื่อผมเถอะว่า ฉากที่ 4 จะรุนแรงที่สุดเพราะจะมีการตีราคาและค่าเสื่อม รวมถึงการซ่อมบำรุงระบบงาน แอร์พอร์ต เรลลิงค์ เหนื่อย” นายบากบั่นระบุ
ฉากที่ 5 จะเกิดขึ้นระหว่างการส่งมอบพื้นที่ ช่วงพญาไท-ดอนเมือง ระยะทาง 22 กิโลเมตร ส่งมอบพื้นที่ภายใน 2 ปี 3 เดือน หรือไม่เกิน 4 ปี
“เรื่องการส่งมอบพื้นที่ส่วนนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากส่งมอบช้าจะต้องขยายระยะเวลาให้กับเอกชนตามเวลาที่ทอดออกไป ปัญหาใหญ่อยู่ตรงนี้ เมื่อขยายเวลาออกไปย่อมหมายถึงต้นทุนของเอกชนที่เพิ่มขึ้น”
อย่างไรก็ดี เรื่องนี้เป็นเพียงปฐมบทของการช่วงชิงกันระหว่าง BTS-กลุ่มซีพี เท่านั้น โดยนายบากบั่น ตั้งข้อสังเกตว่าที่ต้องติดตามต่อคือ กรณีการประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่ากว่า 290,000 ล้านบาท ที่ล่าสุดศาลปกครองสูงสุดสั่งทุเลาการบังคับตามมติของคณะกรรมการคัดเลือกของโครงการฯ กรณีไม่รับซองของกลุ่มซีพีเนื่องจากยื่นซองช้ากว่ากำหนด 9 นาที ให้รับเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคัดเลือกด้านราคาแข่งขันกับกลุ่ม BTS ซึ่งเสนอราคาสูงกว่ากลุ่มแกรนด์เอสเตท ของนายไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ ร่วม 1 แสนล้านบาท
“มหากาพย์ไฮสปีดเทรนครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของปฐมบทรอบใหม่ที่จะไปจบกันอีกทีที่โครงการพัฒนาเมืองการบินอู่ตะเภา” นายบากบั่น กล่าวทิ้งท้าย
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,517 วันที่ 27-30 ตุลาคม 2562