สำนักงานเศรษฐกิจการคลังรายงานว่า ผู้มีงานทำดือนกันยายน 2562 มีจำนวน 37.2 ล้านคน หดตัว 1.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นการหดตัว 3 เดือนติดต่อกัน และหากขจัดผลทางฤดูกาลหดตัวะ 0.2% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการหดตัวของผู้มีงานทำนอกภาคเกษตรเป็นสำคัญ อาทิภาคการผลิตที่หดตัว 7.3% ภาคการก่อสร้างหดตัว 6.1% และภาคบริการหดตัว 1.8% ส่งผลให้ 8 เดือนแรก ปี 2562 ผู้มีงานทำหดตัวที่ 0.5% นอกจากนี้ผู้ว่างงานมีจำนวน 3.8 แสนคน อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.0% ของกำลังแรงงานรวมที่มีจำนวน 37.7 ล้านคน และไตรมาสที่ 3 อัตราการว่างอยู่ที่ 1.1% ของกำลังแรงงานรวม
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย โดยรวมของ ม.หอการค้าไทย ในเดือน กันยายน 2562 ปรับตัวลดลงจากระดับ 60.9 ในเดือนก่อน มาอยู่ที่ ระดับ 59.3 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 และเป็นระดับต่ําสุดในรอบ 65 เดือน หรือ 5ปี 5 เดือน นับตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2557
แม้ว่ารัฐบาลเริ่มมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมามากขึ้น แต่ผู้บริโภคยังมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีความกังวล เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวช้าและกาลังซื้อของประชาชนยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมากนัก ประกอบกับสถานการณ์ไม่ แน่นอนของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากสงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯ และจีนและปัญหา Brexit
นักวิเคราะห์มองว่า สำหรับการจ้างงานที่ลดลงต่อเนื่อง 3 เดือนสะท้อนให้เห็นถึงภาคเศรษฐกิจจริงของไทยที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาส่งครามการค้า ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกมีรายได้ลดลง
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์กรนายจ้างผู้ประกอบการค้าอุตสาหกรรมไทย ระบุว่า ผลพวงจากสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ จะทำให้การส่งออกของไทยปี 2562 มีโอกาสติดลบ 1.5-2% สะท้อนถึงการจ้างแรงงานของไทยที่เริ่มชะลอลงตามไปด้วย ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณการจ้างงานลดลง ประกอบกับบางส่วนปรับมาใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้นทั้งหุ่นยนต์และเทคโนโลยีต่างๆ เป็นความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานโดยเฉพาะนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังจะเข้าสู่ระบบช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. 2563 อีกประมาณ 5.24 แสนคน อาจต้องประสบปัญหาภาวะว่างงานสูงขึ้น ดังนั้นรัฐบาลคงต้องประคับประคองด้วยการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการบริโภคภายในแทน