“สนธิรัตน์” หนุนปตท.ดันไทยเป็นฮับแอลเอ็นจีในภูมิภาค ยันมีความพร้อมในระบบโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพแข่งขันกับคู่แข่งได้ ให้เวลา 2 เดือนในการจัดทำแผนรายละเอียดนำเสนอ กพช.ไพเขียว
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 11-12 ตุลาคม นี้ ได้ลงพื้นที่ เพื่อติดตามการดำเนินงานธุริกิจก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงพลังงาน จังหวัดระยอง ทั้งนี้ ได้เห็นถึงศักยภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานในธุรกิจก๊าซธรรมชาติและขีดความสามารถในการบริหารจัดการของปตท. และได้ให้นโยบายเพิ่มเติมไปว่า เรื่องใดที่ได้ดำเนินการได้ดีอยู่แล้ว ให้ดำเนินการต่อไปเพื่อให้มีความต่อเนื่อง และให้ทิศทางการดำเนินการในอนาคตกับปตท.ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ว่า ปตท.จะต้องเป็นองค์กรหลัก ในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) ในภูมิภาค อาเซียน หรือฮับแอลเอ็นจี โดยปตท.จะเป็นผู้เล่นที่มีสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด ในการจัดหาและการค้าแอลเอ็นจี เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ
ทั้งนี้ ได้มอบให้ปตท.จัดทำแผนงานในรายละเอียดสำหรับการก้าวสู่การเป็นฮับแอลเอ็นจี เพื่อนำเสนอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาภายใน 2 เดือน ก่อนที่จะนำเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) พิจารณาอนุมัติต่อไป
“ขณะนี้มีหลายประเทศที่ต้องการจะเป็นผู้นำด้านการค้าแอลเอ็นจีในภูมิภาค ซึ่งปตท.จะต้องช่วงชิงความเป็นผู้นำ ในการผู้จัดหาแอลเอ็นจี เพื่อมาป้อนให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่มีความต้องการ ในแบบ small scale ซึ่งในวันที่ 12 ตุลาคม 2562 นี้ จะเดินทางไปยัง บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อรับฟังการบรรยายประกอบกิจการการเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลว และเยี่ยมชมสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Receiving Terminal)”
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. เปิดเผยว่า ก๊าซธรรมชาติถือเป็นพลังงานที่สำคัญยิ่งของประเทศ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคน เป็นธุรกิจต้นน้ำ ที่เป็นหัวใจสำคัญ เป็นรากฐานของกลุ่ม ปตท. และอยู่คู่กับ ปตท. มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตลอด 40 ปี จนปัจจุบันได้ขยายการจัดหา จัดจำหน่ายก๊าซฯ ทั้งจากประเทศเพื่อนบ้าน และนำเข้าแอลเอ็นจี จากต่างประเทศ และปัจจุบันได้มุ่งไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานของภูมิภาค ตามนโยบายจากภาครัฐต่อไป