ปตท.-กฟผ.ฟัดกันนัว เกมชิงเค้กนำเข้า LNG

สหภาพปตท.ยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน ร้องกบง.มีมติให้กฟผ.นำเข้าแอลเอ็นจีสัญญาระยะสั้นไม่เกิน 2 แสนตัน ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและไม่ชอบด้วยกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ

คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบ.) มีนายสินธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม2562 ได้เห็นชอบการยกเลิกการลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซแอลเอ็นจี ปริมาณ 1.5 ล้านตันต่อปี ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) กับ ที่บริษัท ปิโตรนาส แอลเอ็นจี ของมาเลเซีย ที่เสนอมาในราคาต่ำสุด จากจำนวนผู้ร่วมเข้าประมูล 12 ราย ที่จะต้องลงนามภายในเดือนกันยายนนี้ และเปลี่ยนให้กฟผ.จัดหาก๊าซแอลเอ็นจีในปริมาณไม่เกิน 2 แสนตัน เพื่อทดสอบระบบการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่มีมติเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2560

การยกเลิกนำเข้าแอลเอ็นจี 1.5 ล้านตันต่อปี ในระยะเวลา 8 ปี ดังกล่าว ส่งผลให้ทางสหสภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กฟผ.(สร.กฟผ.) ไม่พอใจและออกมาเคลื่อนไหว แต่งกายชุดำทั้งกฟผ. เพื่อคัดค้านมติดังกล่าว และส่งหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อให้ทบทวนมติกบง.ใหม่ เนื่องจากการนำเข้าแอลเอ็นจีครั้งนี้ จะส่งผลให้ประหยัดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าได้ราว 3.5 หมื่นล้านบาท หรือช่วยลดค่าไฟฟ้าลงได้ 2.7 สตางค์ต่หน่วย แต่ทางกระทรวงพลังงาน ยังนิ่งเฉย ทางสร.กฟผ.จึงมีมติร่วมกันที่จะแต่งชุดคำเป็นสัญลักษ์การคัดค้าน เพื่อกดดันให้มีการนำมติกบง.ให้คณะรัฐมนตรีชี้ขาด

ล่าสุดในในวันนี้(27 ก.ย.62) ทางสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) นำโดย นางสาวอัปสร กฤษณะสมิต ประธานสหภาพ และเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)  เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้พิจารณาและมีความเห็นเสนอศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองวินิจฉัยว่า การที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) อนุมัติให้กฟผ. เข้ามาประกอบธุรกิจซื้อขายและนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในสัญญาระยะสั้นหรือแบบ Spot ในปริมาณไม่เกิน 2 แสนตัน ข่ายเป็นการละเมิดพ.ร.บ.จัดตั้งกฟผ. และขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 75 วรรคสองที่กำหนดห้ามมิให้รัฐและนิติบุคคลมหาชนเข้าประกอบกิจการในทางธุรกิจที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชนอย่างชัดเจนหรือไม่

อีกทั้ง การที่กบง.มีมติดังกล่าว ถือเป็นการดำเนินการของหน่วยงานรัฐที่มิชอบด้วยพ.ร.บ.ของรัฐธรรมนูญ ส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายต่อปตท.ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายเอกชน และส่งผลกระทบต่อสิทธิของพนักงานผู้ถือหุ้น

นางสาวอัปสร  เปิดเผยว่า  ที่ผ่านมารัฐบาลได้มอบหมายปตท.ให้เป็นผู้จัดหาหรือนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวหรือแอลเอ็นจีแต่เพียงผู้เดียว โดยได้มีการลงทุนไปอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือ ถังกักเก็บ สถานีรับ-จ่ายแอลเอ็นจี และท่อส่งก๊าซ เพื่รองรับปริมาณความต้องการใช้ในการผลิตไฟฟ้าและภาคอุตสาหกรรมของประเทศ แต่เนื่องจากมีการการคาดการณ์ว่า ความต้องการใช้ก๊าซในประเทศจะเพิ่มขึ้นปีละ 9 ล้านตัน  กพช.จึงมีมติให้เตรียมการนำเข้าแอลเอ็นจีจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยมอบหมายให้กฟผ.ไปดำเนินการจัดหานำเข้าไม่เกิน 1.5 ล้านตันต่อปี ทั้งที่ กฟผ.ไม่มีประสบการณ์และไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายจัดตั้งกฟผ.ในการดำเนินธุรกิจซื้อขายและนำเข้าแอลเอ็นจีมาก่อน

ดังนั้น มติกบง.ที่ออกมาให้กฟผ.นำเข้าแอลเอ็นจีในสัญญาระยะสั้น ไม่เกิน 2 แสนตันนั้น  เห็นว่า เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมีลักษระเป็นการกระทำนอกขอบวัตถุประสงค์ของกฟผ. ตามที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ.จัดตั้งและเป็นการละเมิดหลักการเรื่องการที่รัฐและนิติบุคคลมหาชนที่ตั้งขึ้นโดยกฎหมายและถืออำนาจมหาชน จะต้องไม่ประกอบกิจการทางเศรษฐกิจในลักษณะที่แข่งขันกับเอกชน ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560  กำหนดห้ามไว้

จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน พิจารณาเรื่องร้องเรียนดังกล่าวนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินว่าด้วยการแจ้ง การร้องเรียน การแจ้งข้อเท็จจริงและการพิจารณาเรื่องร้องเรียน พ.ศ.2562 รวมทั้งให้เสนอไปยังศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง ให้อำนาจหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาด การดำเนินการของทั้งหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดังกล่าว เป็นการดำเนินการที่ขัดแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและบทบัญญัติของกฎหมาย เพื่อให้ศาลระงับยังยั้งมิให้เกิดการดำเนินงานดังกล่าว หรือเพื่อระงับหรือป้องกันมิให้เกิดผลกระทบหรือความเสียหายต่อการดำเนินธุรกิจก๊าซธรรมชาติของปตท.