“สุริยะ”เล็งดันอุตฯแปรรูปอาหาร 10 ปีเข้า ครม.ใน 2 เดือน
รัฐมนตรีว่าการะทรวงอุตสาหกรรมเผยเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารระยะ 10 ปีภายใน 2 เดือน หวังดันไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารอนาคตแห่งอาเซียน
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กำลังจะเสนอมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ระยะ 10 ปี ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยแผนดังกล่าวมีเป้าหมายระยะยาว เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารอนาคตแห่งอาเซียน ควบคู่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ผ่านมาตรการหลัก ได้แก่ การสร้างนักรบอุตสาหกรรมอาหารพันธุ์ใหม่ การสร้างนวัตกรรมอาหารอนาคต การสร้างโอกาสทางธุรกิจ และการสร้างปัจจัยพื้นฐานเพื่อเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการสร้างช่องทางการตลาดภายในประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
“ขณะนี้ตนได้รีบเร่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำเรื่องดังกบล่าวอยู่ โดยคาดว่าภายใน 2 เดือนข้างหน้านี้น่าจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ให้พิจารณา เพื่อขออนุมัติเห็นชอบได้”
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะเป็นการนำอุตสาหกรรมชีวภาพเข้ามาช่วย โดยเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถพัฒนาต่อยอดจากความได้เปรียบในด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยและยังมีความเกี่ยวข้องกับเกษตรกร ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอีกเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญคืออุตสาหกรรมชีวภาพเป็นเหมือนอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมอื่น เช่น อุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ อุตสาหกรรมและบริการทางการแพทย์ อุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ดังนั้น อุตสาหกรรมชีวภาพจึงเป็นอุตสาหกรรมที่กระทรวงฯ ได้ให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกทั้งยังช่วยให้เกิดการกระจายผลการพัฒนาไปยังคนกลุ่มใหญ่ของประเทศได้ด้วย
“ปัจจุบันอุตสาหกรรมชีวภาพของไทยส่วนใหญ่ยังใช้เทคโนโลยีชีวภาพขั้นต้น เช่น พลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ ปุ๋ยชีวภาพ หรือ การผลิตบรรจุภัณฑ์ชีวภาพต่างๆ ในขณะที่สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงยังต้องนำเข้า และเมื่อพิจารณาถึงตลาดสินค้าทางชีวภาพของโลกแล้ว พบว่ามีทิศทางที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ว่าโลกจะมีความต้องการ พลาสติกชีวภาพกว่า 2.5 ล้านตัน โดยพลาสติกชีวภาพเหล่านี้ บางประเภทสามารถผลิตได้จากอ้อยและมันสำปะหลัง”
นายสุริยะ กล่าวต่อไปอีกว่า กระทรวงฯจึงเล็งเห็นถึงโอกาสในการผลักดันอุตสาหกรรมชีวภาพ และได้ออกมาตรการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีวภาพและผลักดันการดำเนินงานในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องจนเกิดผลที่เป็นรูปธรรม โดยเร่งส่งเสริมให้มีการพัฒนาและการผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง ควบคู่กับการพัฒนาปัจจัยแวดล้อมให้เอื้ออำนวย เช่น การพิจารณาทบทวนกฎหมาย กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค รวมทั้งพิจารณามาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุน และภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีที่ออกมาตรการฯ ได้เกิดโครงการลงทุนในผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) และเคมีชีวภาพ (Biochemicals) แล้วในหลายพื้นที่ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 50,000 ล้านบาท เช่น ในพื้นที่ EEC เกิดมูลค่าการลงทุนรวม 9,740 ล้านบาท ในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง (จ.นครสวรรค์) เกิดมูลค่าการลงทุนรวม 41,000 ล้านบาท อีกทั้งยังผลักดันและกระตุ้นผู้ประกอบการให้เกิดการลงทุนจัดตั้ง Bio Hub ในจังหวัดภูมิภาคต่างๆ เช่น จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดลพบุรี จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น