เวียดนามรับอานิสงส์สงครามการค้ามากสุด ทั้งส่งออกไปสหรัฐฯพุ่ง ทุนไทย-เทศแห่ปักฐาน 4 เดือนแรกจีนหนีสงครามการค้าทุ่มลงทุนมากสุด หวั่นกระทบอีอีซีไทย ม.หอการค้าฯ แนะว่าที่รัฐบาลใหม่ดัน 8 กลยุทธ์สร้างจุดขายใหม่ล่อใจไหลเข้า
ช่วงไตรมาสแรกปี 2562 จากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนส่งผลให้สหรัฐฯนำเข้าสินค้าจากเวียดนามเพิ่มขึ้น 40% (สั่งนำเข้าสินค้าจีนลดลง 14%)และก้าวขึ้นมาเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 7 ของสหรัฐฯจากปี 2561 เป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 12 ซึ่งหากสหรัฐฯยังสั่งนำเข้าสินค้าจากเวียดนามเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เวียดนามจะก้าวขึ้นเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของสหรัฐฯแซงหน้าสหราชอาณาจักร อิตาลี และฝรั่งเศส ขณะที่สงครามการค้ายังทำให้เวียดนามได้รับอานิสงส์จากทุนจีนที่หลั่งไหลเข้าไปลงทุนเป็นอันดับ 1 ช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้
กรมการลงทุนจากต่างชาติ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เผยแพร่ข้อมูลว่า ช่วง 4 เดือนแรกปี 2562 การลงทุนโดยตรง(FDI)ของต่างชาติในเวียดนามมีจำนวนโครงการใหม่ 1,082 โครงการ เงินทุนจดทะเบียนใหม่รวม 5,340 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น 50.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ในจำนวนนี้เป็นโครงการลงทุนจากจีนมาเป็นอันดับ 1 (ดูจากทุนจดทะเบียน) มีจำนวน 187 โครงการ ทุนจดทะเบียนใหม่ 1,314.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รองลงมาคือสิงคโปร์ 71 โครงการ ทุนจดทะเบียนใหม่ 699.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนไทยอยู่อันดับ 9 จำนวน 11 โครงการ ทุนจดทะเบียนใหม่ 325.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วนการลงทุนโดยตรงของต่างชาติในเวียดนาม สะสมถึงเดือนเมษายน 2562 รวมทั้งสิ้น 28,398 โครงการ เงินทุนจดทะเบียนรวม 348,980.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯโดยนักลงทุน 10 อันดับแรก ได้แก่ เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, ไต้หวัน, หมู่เกาะเวอร์จิน, ฮ่องกง, จีน, มาเลเซีย, ไทย และเนเธอร์แลนด์ (กราฟิกประกอบ)
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาธุรกิจไทย-เวียดนาม เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การลงทุนของไทยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต กลุ่มการ เกษตรและแปรรูปเกษตร/ประมง และกลุ่มธุรกิจบริการ โดยกลุ่มใหญ่ ๆที่ไปลงทุน เช่น ซีพี ไทยเบฟ เอสซีจี ปตท. เซ็นทรัล ดุสิตธานี ศรีไทย อมตะ WHA ล็อกซเล่ย์ ทีโอเอ ผู้ประกอบการเครื่องนุ่งห่มแถวหน้าของเมืองไทย กลุ่นธนาคารทั้งแบงก์กรุงเทพ ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย และอื่นๆ รวมกว่า 500 โครงการ และกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ปัจจัยดึงดูดการลงทุนในเวียดนามที่สำคัญได้แก่ รัฐบาลมีเสถียรภาพ นโยบายมีความต่อเนื่องประชากรสัดส่วน 60% อยู่ในวันทำงาน อายุเฉลี่ย 30 ปี อัตราการเกิดของประชากรสูงอนาคตไม่ขาดแคลนแรงงาน คนเวียดนามมีความขยัน ใฝ่เรียนรู้ ค่าแรงยังไม่สูงมากเฉลี่ย 60% ของค่าจ้างแรงงานไทย นอกจากนี้เวียดนามยังมีเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป(อียู)ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปีนี้ และมีความตกลง CPTPP บังคับใช้ปีนี้เช่นกัน”
สนั่น อังอุบลกุล
กรณีสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนมีผลให้เวลานี้จีนได้ย้าย/ขยายฐานการผลิตไปเวียดนามที่มีชายแดนติดกันมากขึ้น ซึ่งอนาคตเวียดนามจะเป็นหนึ่งในฐานผลิตที่สำคัญของจีนเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ หลังจากฐานผลิตในจีนถูกสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้า ทั้งนี้การลงทุนของต่างชาติในเวียดนามที่เพิ่มมากขึ้นอาจส่งผลกระทบทำให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ของไทยไม่มากอย่างที่ต้องการ เรื่องนี้รัฐบาลใหม่ต้องเร่งผลักดันโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รองรับ และให้เกิดรูปธรรมโดยเร็วนักลงทุนจึงจะกล้าตัดสินใจมา
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ไทยจะต้องปรับกลุยทธ์เพื่อดึงการลงทุนในอีอีซีมี 8 เรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการได้แก่ 1. เน้นหรือประชาสัมพันธ์ความพร้อมของไทยด้านวัตถุดิบทางการเกษตรที่มีคุณภาพ เช่นยางพารา และสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพเพื่อการลงทุน “อุตสาห กรรมเกษตรแปรรูปสมัยใหม่” 2.เน้นพัฒนาแรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ทักษะฝีมือในการผลิต 3.ภาษีนิติบุคคลไทยปัจจุบันเท่ากับประเทศเพื่อนบ้านที่ 20% ควรลดมากกว่านี้
4.โครงสร้างพื้นฐานเช่น ถนน รถไฟความเร็วสูง หรืออินเตอร์เน็ตต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วในหลากหลายพื้นที่ 5.เน้นอุตสาหกรรมเกษตรเชิงท่องเที่ยว 6.เน้นอุตสาหกรรมที่มีการสร้างมูลค่าเพิ่มสูง เช่นอาหารแปรรูปและเกษตรแปรรูป 7.ท่าเรือแหลมฉบังต้องสามารถเชื่อมโยงกับท่าเรือในต่างจังหวัด เพื่อเร่งพัฒนาประสิทธิภาพของท่าเรือไทยให้เท่าเทียมกับมาเลเซีย และเพื่อลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และ 8. ผลักดัน 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคตให้เห็นเป็นรูปธรรมเพื่อเป็นต้นแบบและแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนอย่างจริงจัง
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,478 วันที่ 13-15 มิถุนายน 2562