"มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" แจงโมเดลธุรกิจ Facebook ย้ำ! ไม่ขายข้อมูลผู้ใช้

28 ม.ค. 2562 | 06:55 น.
"มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Facebook ได้โพสต์เฟชบุ๊กชี้แจงโมเดลธุรกิจต่อสาธารณะ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับโมเดลธุรกิจของ Facebook

16176889_112685309244626_578204711_n
โดยมีเนื้อหาระบุว่า ปีนี้เป็นปีที่ Facebook ครบรอบ 15 ปี เราเติบโตจากพื้นที่ในรั้วมหาวิทยาลัยมาสู่การให้บริการกับผู้คนจำนวนกว่าครึ่งที่อยู่บนโลกอินเตอร์เน็ต มีคำถามมากมายเกี่ยวกับโมเดลทางธุรกิจของเรา ผมจึงอยากอธิบายถึงหลักการที่อยู่เบื้องหลังการดำเนินธุรกิจของเรา

ตอนที่ผมเริ่มก่อตั้ง Facebook ผมไม่ได้มีความคิดที่จะสร้างบริษัทระดับโลก ตอนนั้นผมแค่รู้ว่า เราสามารถค้นหาทุกสิ่งทุกอย่างได้บนอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี หนังสือ หรือ ข้อมูลข่าวสาร ยกเว้นอย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่เรายังไม่เจอ นั่นก็คือ "คน" ผมจึงสร้างการบริการที่ทำให้คนสามารถใช้เพื่อเชื่อมต่อและเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ หลายปีผ่านไป ผู้คนหลายพันล้านคนค้นพบว่า สิ่งนี้มีประโยชน์ และเราก็ได้สร้างบริการต่าง ๆ เพิ่มเติมที่ผู้คนทั่วโลกรักและใช้มันทุกวัน

ผมเชื่อว่า ทุกคนควรมี "เสียง" และความสามารถในการเชื่อมต่อกันได้ หากเรามุ่งมั่นที่จะให้บริการของเราสามารถเข้าถึงทุกคน เราจำเป็นต้องมีบริการที่ทุกคนสามารถหามาใช้ได้ และวิธีที่ดีที่สุด ก็คือ การนำเสนอบริการนั้นโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งโฆษณาจะเป็นกลไกที่สามารถเอื้อให้เราทำเช่นนั้นได้สำเร็จ

การเจาะกลุ่มเป้าหมาย (Targeting) แบบนี้ มีมาก่อนยุคอินเตอร์เน็ต แต่การทำโฆษณาออนไลน์ ทำให้เราสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดและมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น นี่คือ สิ่งสำคัญว่า ทำไมเราถึงนำเสนอทุกอย่างให้มีความโปร่งใส และทุกคนสามารถควบคุมเองได้ว่า ต้องการจะเห็นโฆษณาชิ้นใด ต่างจากโทรทัศน์ วิทยุ หรือ สื่อสิ่งพิมพ์ สำหรับการให้บริการของเรา ทุกคนมีตัวเลือกในการจัดข้อมูลที่ใช้สำหรับการโฆษณา อีกทั้งคุณยังสามารถบล็อกหรือป้องกันไม่ให้ผู้โฆษณาเข้าถึงคุณได้ คุณสามารถตรวจสอบได้ว่า เพราะเหตุใดคุณถึงเห็นโฆษณาชิ้นนั้น ๆ และสามารถตั้งค่าเพื่อให้ได้รับเฉพาะโฆษณาที่คุณสนใจ นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้เครื่องมือความโปร่งใสของเราในการดูโฆษณาชิ้นอื่น ๆ ที่ผู้โฆษณาแสดงให้คนอื่นเห็นได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม บางท่านก็ยังกังวลเกี่ยวกับความซับซ้อนของโมเดลนี้ ในการทำธุรกรรมทั่วไป คุณจ่ายเงินให้กับบริษัทหนึ่งสำหรับสินค้าหรือการบริการที่เขานำเสนอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจง่าย แต่ที่แพลตฟอร์มนี้ ทุกคนได้ใช้บริการของเราแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ส่วนเราก็แยกไปทำงานร่วมกับผู้โฆษณา เพื่อแสดงโฆษณาที่คุณสามารถเชื่อมโยงได้ โมเดลธุรกิจนี้อาจทำให้เรารู้สึกว่าไม่ค่อยมีความชัดเจน และลึก ๆ แล้ว เราทุกคนต่างไม่ไว้ใจในระบบที่เราไม่เข้าใจอยู่

บางครั้งผู้คนก็คิดไปว่า เราทำสิ่งที่จริง ๆ แล้วเราไม่ได้ทำ เช่น เราไม่ขายข้อมูลของผู้ใช้ แม้จะมีการรายงานว่าเราทำเช่นนั้น แต่อันที่จริง การขายข้อมูลของผู้ใช้นั้น เป็นสิ่งที่ขัดแย้งและบ่อนทำลายตัวธุรกิจของเรา เพราะมันเป็นการทำลายความไว้วางใจและลดมูลค่าของการบริการที่เราเสนอให้กับผู้โฆษณา แรงจูงใจที่สำคัญยิ่งของเรา คือ การปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ไม่ให้ผู้อื่นเข้าถึงได้

บางคนกังวลว่า โฆษณาจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนที่ใช้บริการของเราสูญเสียความสนใจและความรู้สึกดึงดูดในผลิตภัณฑ์ของเรา ผมมักได้รับคำถามอยู่เสมอว่า เรามีแรงจูงใจที่จะเพิ่มวิธีการให้ผู้คนมีส่วนร่วมใน Facebook มากขึ้นหรือไม่ เพราะนั่นจะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับผู้โฆษณา แม้มันจะไม่ใช่การเอาประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้เป็นตัวตั้งก็ตาม

ผมอยากจะสื่อสารให้ชัดเจน ว่า เรามุ่งเน้นการช่วยให้คนแบ่งปันเรื่องราวและเชื่อมต่อกันได้ดีมากขึ้น เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการให้บริการของเรา คือ การช่วยให้คนได้ติดต่อกับครอบครัว เพื่อน และคนในชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่ แต่หากมองจากมุมมองของธุรกิจ การที่ผู้คนใช้เวลาบนแพลตฟอร์ม ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ ก็เป็นเรื่องสำคัญ การล่อลวงให้คลิก (Clickbait) ที่มุ่งให้คนกดเข้าไปดู หรือ ข่าวขยะต่าง ๆ อาจจะทำให้คนมีส่วนร่วมเข้าไปดูในระยะสั้น แต่มันคงไม่ใช่เรื่องฉลาดนักสำหรับเราที่จะตั้งใจแสดงสิ่งเหล่านี้ให้คนเห็น เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่คนอยากดู อีกทั้งยังเป็นการบ่อนทำลายการใช้ผลิตภัณฑ์บริการของเราในระยะยาวด้วย

อีกหนึ่งคำถามที่ผมได้รับ คือ เราปล่อยให้มีเนื้อหาที่อันตรายหรือสร้างความแตกแยก เพราะว่ามันทำให้คนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นใช่หรือไม่ คำตอบก็คือ "ไม่" ผู้คนบอกเราอย่างต่อเนื่อง ว่า พวกเขาไม่ต้องการเห็นเนื้อหาในลักษณะนี้ ผู้โฆษณาก็ไม่ต้องการให้แบรนด์ของเขาไปเฉียดใกล้เนื้อหาเหล่านี้ สาเหตุเดียวที่คุณยังเห็นเนื้อหาที่ไม่ดีนี้ปรากฎอยู่ เพราะผู้คนและระบบ AI ที่เราใช้ในการตรวจสอบยังจะต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงอีก ไม่ใช่ว่าเราจะมีเหตุจูงใจอื่นที่จะเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้

ท้ายที่สุด อีกคำถามที่สำคัญ คือ โมเดลโฆษณาแบบนี้กระตุ้นให้บริษัทแบบเราใช้และเก็บข้อมูลมากเกินกว่าที่เราควรจะทำเพื่อให้บริการแก่ผู้บริโภคหรือไม่

ในกรณีนี้ ไม่ต้องมีข้อสงสัยเลยว่าเราใช้และเก็บข้อมูลบางประเภทเพื่อที่จะได้แสดงโฆษณาที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ใช้ เช่น บริษัทต่าง ๆ มักใส่โค้ดลงไปบนเว็บไซต์ของพวกเขา เวลาที่ลูกค้าจะจ่ายเงินซื้อสินค้า พวกเขาก็จะสามารถแสดงโฆษณาให้ลูกค้าเห็นภายหลัง เพื่อเตือนให้เขาทำการซื้อให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ อีกหนึ่งตัวอย่าง คือ ผู้พัฒนาแอพพลิเคชันที่อยากรู้ว่า ผู้ใช้ทำการติดตั้งแอพนั้น ๆ เพราะโฆษณาหรือไม่ การหาตัวชี้วัดเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะทำให้เราคิดค่าบริการกับผู้โฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากสุด เมื่อโฆษณาชิ้นนั้นนำไปสู่การติดตั้งแอพนั้นจริง ๆ

ตัวอย่างเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ Facebook แต่เป็นวิธีการที่โฆษณาออนไลน์ส่วนมากทำกัน แต่หากโมเดลธุรกิจของเราไม่ใช่โฆษณา เราก็คงไม่ใช้ข้อมูลบางอย่างในแบบที่เราใช้ในปัจจุบัน จริง ๆ แล้ว ข้อมูลส่วนใหญ่ถูกเก็บเพื่อวัตถุประสงค์ในการวัดผลด้านความปลอดภัยและพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อการทำให้โฆษณาเชื่อมโยงกับผู้ใช้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เราได้ให้ตัวเลือกกับผู้ใช้ในด้านข้อมูลที่เราใช้สำหรับแสดงโฆษณา และผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะอนุญาตให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เก็บจากเว็บไซต์ และการบริการนั้นสามารถนำไปใช้ในการแสดงโฆษณาที่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขามากขึ้น

ท้ายที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่า หลักการที่สำคัญที่สุดในเรื่องการจัดการข้อมูล คือ ความโปร่งใส โอกาสในการเลือกและการควบคุม เราจำเป็นต้องปกป้องการนำระบบโฆษณาของเราไปใช้ในทางที่ผิด มีความชัดเจนในวิธีการที่เรานำข้อมูลมาใช้ และทำให้ง่ายสำหรับคนทั่วไปในการควบคุมข้อมูลของพวกเขาเอง ผู้คนจะต้องมีตัวเลือกที่ชัดเจนในการเลือกได้ ว่า ข้อมูลของพวกเขาจะนำไปใช้แบบใด อีกทั้งเรายังต้องมีกฎระเบียบที่รอบคอบและชัดเจนว่า บริษัทต่าง ๆ ควรจะต้องทำอะไร หากพวกเขาเป็นผู้ถือครองข้อมูลของผู้ใช้

เรามุ่งเน้นในการทำให้เทคโนโลยีของเราถูกนำไปใช้ในด้านที่ดีและเกิดประโยชน์ ซึ่งสิ่งนี้เป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดในโครงสร้างธุรกิจของเรา ผู้คนกว่าหลายพันล้านคนได้รับการบริการฟรีเพื่อที่จะเชื่อมต่อกับผู้คนที่เขาห่วงใยและได้แสดงออกถึงความเป็นตัวเอง ธุรกิจขนาดเล็กทั่วโลกก็เข้าถึงเครื่องมือในการทำให้ธุรกิจของพวกเขาเติบโตและสร้างงานเพิ่มขึ้นได้

ในปัจจุบัน มีธุรกิจขนาดเล็กกว่า 90 ล้านธุรกิจ ที่อยู่บน Facebook พวกเขาเป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อธุรกิจของเรา ธุรกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีกำลังจ่ายมากพอในการซื้อโฆษณาทางโทรทัศน์ หรือ ป้ายโฆษณาต่าง ๆ แต่วันนี้พวกเขาสามารถเข้าถึงเครื่องมือเดียวกันนี้ที่เมื่อก่อนมีแต่บริษัทใหญ่ ๆ สามารถเข้าถึงได้

นี่คือ การสร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากธุรกิจขนาดเล็กช่วยสร้างงานและสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจทั่วโลก ในการทำสำรวจทั่วโลก เราพบว่า กว่าครึ่งของธุรกิจที่อยู่บน Facebook บอกว่า พวกเขาสามารถจ้างงานได้เพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่เริ่มเปิดเพจใน Facebook สิ่งนี้หมายความว่า พวกเขาได้ใช้บริการของเราในการสร้างงานให้กับคนอีกเป็นล้าน ๆ หากมองในภาพใหญ่กว่านั้น เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาสร้างงานเพิ่มขึ้นให้กับแรงงานกว่า 4 ล้านคนในปีที่ผ่านมา

สำหรับเรา เทคโนโลยี คือ การมอบพลังสู่มือของผู้คนในจำนวนที่มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ หากคุณเชื่อในโลกที่ทุกคนควรได้แสดงออกและได้รับโอกาสในการรับฟังที่เท่าเทียมกัน ในโลกที่ทุกคนสามารถสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมาได้ด้วยมือของพวกเขาเอง นี่คือ สิ่งสำคัญที่เราต้องสร้างเทคโนโลยีที่สามารถรับใช้ทุกคนได้ นี่คือ โลกที่เราพยายามสร้างในทุกวันนี้ และโมเดลทางธุรกิจของเราเป็นสิ่งที่จะทำให้โลกแบบนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้

บาร์ไลน์ฐาน