"จักรทิพย์" ยันไม่พบพิรุธ "ศรีวราห์" ทำคดี "เปรมชัย" หากไม่ชอบมาพากลเปลี่ยนตัวแน่

09 มี.ค. 2561 | 11:00 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

ผบ.ตร.ยันไม่พบพิรุธการทำหน้าที่ของ "ศรีวราห์" ในคดี "เปรมชัย-พวก" ลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ยันหากไม่ชอบมาพากล จะเปลี่ยนตัวแน่

ล่าสุดวันนี้ (9 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงการดำเนินคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ผู้ต้องหาคดีล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก จ.กาญจนบุรี ว่า ตนเป็นผู้นำสูงสุดขององค์กร ติดตามดูคดีนี้มาตลอดอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่พี่น้องประชาชนสนใจ

"ขณะนี้ตนยังไม่พบพิรุธในการทำงานของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร.เลย ไม่เหมือนกับคดีล็อตเตอรี่ ที่กาญจนบุรี ย้ำว่ายังไม่พบพิรุธ ถ้าพบพิรุธเมื่อไหร่ไม่ต้องห่วง ผมไม่ช้าแน่นอน ผมต้องลงไปแก้ไข เพราะผมต้องเป็นหลักประกัน อำนวยความยุติธรรมให้ประชาชน ให้สังคม หากพบ ผมปรับหน้าที่แน่นอน และพล.ต.อ.ศรีวราห์ไม่ได้เป็นคนทำสำนวน เพียงแต่ควบคุมกำกับดูแลในส่วนของสอบสวนกลาง บก.ปทส. ไม่ได้เป็นพนักงานสอบสวน เพียงแต่ไป กำกับดูแล ถ้ามีพิรุธไม่ชอบมาพากล คงต้องเปลี่ยน ขณะนี้เชื่อว่าถ้าเป็นเหมือนคดีที่เมืองกาญจน์ (คดีลอตเตอรี่) ผมเปลี่ยนแล้ว ผมขอเรียนว่าเมื่อใช้เขาทำงาน ก็ต้องไว้ใจเขา และให้เขาตรวจสอบทำงาน" ผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า กรณีที่นายเปรมชัย เดินทางไปต่างประเทศนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะไม่อยู่ในเงื่อนไขการอนุญาตประกันตัวในชั้นศาล ไม่เกี่ยวข้องกับตำรวจ ต้องถามด้วยว่าใครให้ประกันตัว แต่อย่าทำให้ตนเป็นคู่ชกกับศาลเลย
1520593458500 ขณะเดียวกัน วันนี้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ไปติดตามคดีนายเปรมชัย ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. เพื่อเร่งรัดผลตรวจสอบชิ้นเนื้อ คราบเลือด และร่องรอยทางนิติวิทยาศาสตร์ รวมทั้งสอบปากคำเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เพื่อให้สำนวนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังสอบปากคำนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าชุดพญาเสือ และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ ถึงประเด็นผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะประเด็นจุดที่พบมีดเหน็บ 2 เล่มในที่เกิดเหตุ ซึ่งตรวจพบดีเอ็นเอเสือดำบนมีด แต่ไม่น่าจะใช่อาวุธที่ใช้ชำแหละและหั่นกระดูกเสือดำ จึงสั่งการให้กรมอุทยานฯ เร่งรัดผลการตรวจดีเอ็นเออย่างเป็นทางการบนมีดอีโต้ มีดทำครัว และเขียงที่พบบริเวณเต้นท์ของนายเปรมชัยกับพวก เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้รับรายงานว่ามีดีเอ็นเอเสือดำบนอุปกรณ์ดังกล่าว จึงต้องตรวจหาดีเอ็นเอบุคคล ว่าใครเป็นผู้ใช้มีดชำแหละเสือดำ

เบื้องต้นได้รับรายงานว่า วัตถุพยานได้รับการปนเปื้อนจากสารเคมีที่เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ใช้ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอเสือดำในครั้งแรก ทำให้การตรวจดีเอ็นเอบุคคลไม่ชัดเจน เนื่องจากถูกทำลายไป จึงยังไม่พบดีเอ็นเอที่ตรงกับผู้ต้องหาทั้ง 4 คน แต่แม้ว่าดีเอ็นเอจะไม่ตรง แต่สำนวนคดีขณะนี้คืบหน้าไปแล้วกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ และแน่นหนาพอที่จะเอาผิดกับนายเปรมชัยและพวกทั้ง 9 ข้อหา โดยจะสรุปสำนวนส่งอัยการได้ทันภายในวันที่ 24 มีนาคมนี้