บทเรียนจากวิกฤติการเงินโลก

20 ก.ย. 2560 | 12:29 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

Mp23-3298-B 10ปีแล้วจากวิกฤติการเงินที่เริ่มต้นในปี 2550 และลุกลามส่งผลกระทบไปทั่วโลก องค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและสถาบันการเงิน เช่น Bank for International Settlements และ Financial Stability Board ได้วิเคราะห์ปัญหาในการบริหารจัดการวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นและนำบทเรียนที่ได้รับมาจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเป็นแนวทางสากล ทั้งด้านการเพิ่มความเข้มแข็งในการกำกับดูแลสถาบันการเงินและการสร้างกลไกในการจัดการสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา เพื่อให้ทางการของประเทศต่างๆ พิจารณานำไปปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของประเทศตน ทำให้หลายประเทศ (เช่น ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) มีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้มีกลไกการจัดการกับสถาบันการเงินที่ประสบภาวะวิกฤติทางการเงินอย่างเป็นระบบและเป็นไปอย่างราบรื่น อันจะช่วยลดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจการเงินโดยรวม และลดภาระของภาครัฐ รวมถึงเงินภาษีของประชาชน

 

ในการรับมือกับวิกฤตการณ์การเงินโลกที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า หลายประเทศได้รับบทเรียนที่สำคัญ คือ เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและรักษาให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ภาครัฐจำเป็นต้องเข้าให้ความช่วยเหลือทางการเงินในรูปแบบต่าง ๆ (หรือที่เรียกว่า “Bail-out”) แก่สถาบันการเงินที่มีบทบาทเป็นตัวกลางทางการเงิน ซึ่งเป็นภาระต่อเงินภาษีของประชาชน ดังเห็นได้จากกรณีของแบร์สเติร์นส์ วาณิชธนกิจขนาดใหญ่ที่ประสบปัญหาซับไพรม์ เพื่อป้องกันผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจหากแบร์สเติร์นล้มละลาย รัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องให้เงินกู้ยืมแก่เจพีมอร์แกน เชส จำนวน 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการซื้อธุรกิจของแบร์สเติร์นส์ และกรณีที่เลห์แมน บราเธอร์ส ต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลายกลายเป็นชนวนที่ส่งผลกระทบต่อคู่สัญญาที่มีอยู่ทั่วโลก สถาบันการเงินอื่นๆ และทำให้สภาวะเศรษฐกิจเปราะบาง จนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องให้ความช่วยเหลือ อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป ที่เป็นผู้ให้บริการทางการเงินขนาดใหญ่ มีการดำเนินธุรกิจในหลายประเทศ โดยให้กู้ยืม 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ แลกเปลี่ยนกับหุ้น เพราะหากปล่อยให้ล้มละลายก็จะซํ้าเติมเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะเปราะบางอยู่แล้วมากยิ่งขึ้น

 

ตัวอย่างของเหตุการณ์ข้างต้นทำให้เห็นถึงบทเรียนที่สำคัญบางประการ คือ

บทเรียนประการแรก กรณีสถาบันการเงินที่ประสบปัญหามีขนาดใหญ่ มีความเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินอื่นและภาคเศรษฐกิจมาก รวมถึงเป็นผู้ให้บริการที่สำคัญของระบบการเงิน หากสถาบันการเงินดังกล่าวต้องระงับการดำเนินธุรกิจและการให้บริการไปอย่างกะทันหัน จะส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อลูกค้า สถาบันการเงินอื่น คู่สัญญาในภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงินโดยรวม

 

บทเรียนประการที่ 2 หน่วยงานทางการที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลหรือแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินนั้น ขาดอำนาจและเครื่องมือในการดำเนินการที่เหมาะสม ขาดแนวทางแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน รวมถึงขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้การบริหารจัดการภาวะวิกฤติเป็นไปในลักษณะแก้ไขปัญหาแบบเฉพาะหน้าอย่างไม่เป็นระบบ ในขณะที่ปัญหาสถาบันการเงินมีการลุกลามอย่างรวดเร็วจนกระทบภาคเศรษฐกิจจริง ความเชื่อมั่นของสาธารณชน และระบบสถาบันการเงิน อันเนื่องมาจากความเชื่อมโยงกันผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น ผ่านการทำธุรกรรมระหว่างกัน และการเป็นสมาชิกในระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน

Shanghai-financial02

บทเรียนสำคัญที่กล่าวข้างต้นนั้นเป็นที่มาที่นำไปสู่การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลและ การปรับแก้กฎหมายในหลายประเทศ เพื่อกำหนดแนวทางเพิ่มเติมทั้งในเชิงป้องกันเพื่อลดโอกาสที่สถาบันการเงินจะประสบปัญหารุนแรง และแนวทางเชิงแก้ไขเพื่อลดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจการเงินโดยรวมและลดความเสี่ยงต่อเงินภาษีประชาชน เช่น
แนวทางในเชิงป้องกัน-มีการยกระดับการกำกับดูแลให้เข้มข้นขึ้นสำหรับสถาบันการเงินที่ได้รับการประเมินว่ามีความเสี่ยงต่อระบบ โดยให้ดำรงเงินกองทุนเพิ่มขึ้น เพื่อลดโอกาสที่จะประสบปัญหาเงินกองทุนไม่พอรองรับผลขาดทุน รวมถึงจะช่วยลดแรงจูงใจที่สถาบันการเงินจะดำเนินธุรกิจไปในทางที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบในปริมาณที่สูง

 

แนวทางในเชิงแก้ไข-มีการกำหนดกรอบการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินที่ประสบภาวะวิกฤติทางการเงิน (Resolution regime) เพื่อให้ทางการสามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินได้อย่างราบรื่น โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนอย่างร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจการเงิน ในขณะที่ยังสามารถรักษาความต่อเนื่องของบริการที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ และลดภาระต่อภาครัฐและภาษีของประชาชน ซึ่งส่วนหนึ่งของกรอบการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินที่มีประ สิทธิภาพ คือการมีกฎหมายรองรับการแก้ไขปัญหา โดยกำหนดอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เครื่องมือที่สามารถใช้ในการแก้ไขปัญหา และกระบวนการในการแก้ไขปัญหาของสถาบันการเงิน ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการภาวะวิกฤติเป็นไปอย่างทันกาลและเป็นระบบ

 

หากแนวทางที่กล่าวมานี้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นการสร้างแรงจูงใจ และแรงกดดันให้สถาบันการเงินมีการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ มีการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม และมีการเตรียมการสำหรับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ การเตรียมมาตรการและกลไกรองรับการแก้ไขปัญหาไว้ล่วงหน้า จะช่วยให้สามารถรักษาบริการที่สำคัญต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ให้หยุดชะงัก ลดผลกระทบต่อระบบการเงินโดยรวม และอาจไม่จำเป็นต้องเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาโดยการใช้เงินภาษีของประชาชนดังที่ผ่านมา

 

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอด คล้องกับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,298 วันที่ 21 - 23 กันยายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9-1